LANCER EX หนึ่งเดียวในคลาสที่สามารถใช้เชื้อเพลิง E85

LANCER EX หนึ่งเดียวในคลาสที่สามารถใช้เชื้อเพลิง E85

LANCER EX หนึ่งเดียวในคลาสที่สามารถใช้เชื้อเพลิง E85
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รถยนต์รุ่นล่าสุดของค่ายมิตซูบิชิ ที่ได้รับการเปิดตัวสู่ตลาดรถยนต์ในบ้านเรา ภายใต้สภาวะการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงอย่างในปัจจุบัน ที่นับว่ามีผลสำคัญต่อเส้นทางของแลนเซอร์ใหม่ ที่จะก้าวเดินบนตลาดรถยนต์แห่งนี้ ซึ่งในปัจจุบันมีคู่แข่งสำคัญที่นับได้ว่าเป็นเจ้าของตลาดอยู่ด้วยกันหลาก หลายยี่ห้อ ตั้งแต่ โตโยต้า ฮอนด้า มาสด้า และฟอร์ด ที่มีรถรุ่นสำคัญรุ่นหนึ่งของค่ายส่งจำหน่ายออกสู่ตลาดในคลาสนี้อยู่ในตอน นี้ ด้วยเหตุนี้เอง มิตซูบิชิ จึงมีความท้าทายเป็นอย่างมาก ในการจะสร้างกระแสตอบรับให้กับแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ ให้สามารถกลับมาสู่กลุ่มหัวแถวในคลาสให้ได้เหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา ด้วยหมัดเด็ดที่จัดได้ว่าเป็นเพียงผู้เดียวในตลาดแห่งนี้ นั่นก็คือ ความสามารถในการใช้พลังงานทางเลือกได้สูงถึงแก๊สโซฮอล์ E85 ในรุ่น 1.8 ลิตร

ดีไซน์ที่ออกไปในทางยุโรป

เริ่มแรกก็ควรจะต้อง มาทำความรู้จักหรือทำความคุ้นเคยกับเจ้าแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ คันนี้เสียก่อน เพราะด้วยรูปลักษณ์หน้าตาภายนอกที่เปลี่ยนไปมากจากในแลนเซอร์รุ่นที่แล้ว ชนิดที่เรียกได้ว่าตั้งแต่หัวจดท้าย จนสามารถสร้างความโฉบเฉี่ยว ความสะดุดตา ไปจนถึงอารมณ์ความรู้สึกสไตล์สปอร์ตให้เกิดขึ้นในทันทีที่พบเห็น รูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบใหม่กับดีไซน์ของการเน้นเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว มากยิ่งขึ้น แล้วก็ดูเหมือนดีไซน์จะบังเอิญไปคล้าย ๆ กับรถจากค่ายยุโรปมากขึ้น โดยเฉพาะทางด้านหน้าที่ใครหลายคนรู้สึกเหมือนกับว่าจะละม้ายคล้าย ๆ กับรถหรูหน้าห่วงแบรนด์ออดี้จากฝั่งยุโรป ซึ่งเมื่อหันกลับมามองทางด้านท้าย เรากลับพบดีไซน์ใหม่ของตัวชุดไฟท้ายที่เรียวยาว แตกต่างกับดีไซน์และความรู้สึกเดิมๆ ของแลนเซอร์รุ่นก่อน ที่จะติดอยู่กับไฟท้ายดวงใหญ่ ซึ่งถ้าหากมองกันแบบผ่านๆ ไปแล้ว บ่อยครั้งที่แวบแรกที่เห็นกลับนึกไปว่าเห็นท้ายรถอัลฟ่า 156 จอดอยู่ข้างทาง แต่เมื่อพิจารณาดี ๆ ก็จะพบว่าไม่ใช่ เพราะนั่นคือเจ้าแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ ถัดมาจากตัวไฟท้าย เมื่อมองต่ำลงมาทางด้านล่าง เราจะพบกับหม้อพักไอเสียใบใหญ่ที่นอนขวางแอบซ่อนตัวเองอยู่ใต้ท้องรถ ก่อนที่จะปล่อยปลายท่อออกมาทางด้านข้าง (ถ้ามีสเกิร์ตที่เป็นชายล่างด้านท้ายสักชุด แบบที่เว้าให้ปลายท่อคู่ซ้ายขวาแบบตัวอีโวก็จะดูสปอร์ตและดุขึ้นอีกเยอะ)

แต่ความเป็นสปอร์ตของ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านั้น เพราะในรุ่น 2.0 GT ยังถูกเติมความสปอร์ตมากขึ้นกับชุดสปอยเลอร์ท้ายที่ด้านบนฝากระโปรงท้ายขนาด ใหญ่ (รับประกันว่าถูกใจวัยแรง) พร้อมด้วยล้อแม็กขอบ 18 นิ้ว ที่นับได้ว่าใหญ่สุดของรถในคลาสเดียวกัน มาพร้อมกับยางขนาด 215/45R18 ที่เข้ากันได้ดี แม้จะดูว่าหน้าสัมผัสยางอาจจะดูเล็กไปสักนิด เมื่อมองจากทางด้านท้ายรถ แต่ในเรื่องของประสิทธิภาพในการยึดเกาะนั้น นับว่าทำได้ดี ซึ่งหัวข้อนี้เดี๋ยวเราจะมาพูดถึงกันในลำดับถัดไป

เรียบ ๆ แต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์สปอร์ต

มาถึงภายในห้องโดยสารของแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ในทันทีที่เปิดประตูเข้าไปสู่ภายในห้องโดยสาร เราจะพบกับดีไซน์ภายในที่เน้นไปในด้านของความเรียบ หรู แต่ซ่อนอารมณ์ความเป็นสปอร์ตเอาไว้ด้วยโทนสีแดงของตัวไฟภายใน ตั้งแต่ตัวชุดมาตรวัดแบบทรงกลมคู่ที่แทรกเอาไว้ด้วยจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ (Multi-information display) แบบ TLD – Twin Type LCD Digital ขนาดใหญ่ ที่สามารถแสดงข้อมูลได้หลากหลาย อาทิเช่น ความเร็วเฉลี่ยในการขับขี่ อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ย อุณหภูมิเครื่องยนต์ ระยะทางโดยเฉลี่ยที่ยังสามารถขับได้ โดยคำนวณจากปริมาณคงเหลือในถัง ในขณะที่วิ่งด้วยความเร็วนั้น ๆ และสุดท้ายยังสามารถบอกเตือนระยะทางในการบำรุงรักษา นอกจากฟังก์ชันต่าง ๆ ที่กล่าวถึงไปแล้วนั้น เจ้าจอแสดงข้อมูลยังทำหน้าที่คอยบอกตำแหน่งของเกียร์ อุณหภูมิภายนอก และปริมาณน้ำมันในถังให้ตลอดเวลา ช่วยให้การมองค่าต่าง ๆ ที่ต้องการดูสามารถเลือกดูได้ง่าย ๆ เพียงจุดเดียว นอกจากนี้ในระบบปรับอากาศที่ติดตัวมาให้ในรุ่นท็อปของทั้งรุ่น 1.8 และ 2.0 นั้น ยังให้ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (Fully automatic air conditioner) ที่ใช้งานง่าย ๆ เพียงแค่หมุนปุ่มไปในตำแหน่งออโต้ ระบบควบคุมก็จะทำงานให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งในเรื่องของการใช้งานนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องที่สะดวกสบาย ใช้งานง่าย และยังคงให้ความละเอียดในการควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ได้ดี เพียงแต่ว่าในด้านมุมมองในเรื่องของความรู้สึกนั้น อาจจะดูว่าเจ้าแอร์ออโต้ชุดนี้มันดูขาด ๆ ไปบ้าง ก็ตรงที่ไม่ได้ใช้การเลือกควบคุมฟังก์ชันต่างๆ แบบปุ่มกด ไปจนถึงไม่มีจอแสดงผลแบบดิจิตอลเหมือนเช่นคู่แข่งส่วนใหญ่เค้านิยมใส่มาให้ กันในรุ่นท็อป
ถัดมาในเรื่องของเบาะนั่ง ภายในแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ นั้น จะมีอยู่ด้วยกันสองแบบ โดยที่ในรุ่นท็อปของทั้ง 1.8 และ 2.0 นั้น จะให้ภายในเป็นเบาะหนัง พร้อมภายในที่เป็นโทนสีดำ ส่วนในรุ่น 1.8 รุ่นรองลงมาอย่าง GLS และ GLX นั้น จะเป็นเบาะแบบผ้าสีเบจ

ซึ่งนั่นก็เป็นใน เรื่องของออปชั่นที่มักแต่งต่างกันไปตามระดับราคาในแต่ละรุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเด่นที่ช่วยเติมความสปอร์ตให้ภายในห้อง โดยสารของแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ 2.0 GT ก็ตรงที่พวงมาลัยแบบสามก้านสไตล์สปอร์ต ที่มาพร้อมชุดมัลติฟังก์ชัน และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ที่ตัวก้านของพวงมาลัย อีกทั้งบริเวณด้านหลังของตัวก้านพวงมาลัยยังเป็นตำแหน่งของแป้นควบคุมการ เปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ขนาดใหญ่ สไตล์เดียวกับสปอร์ตพันธุ์แรงจากฝั่งอิตาลี ที่สามารถให้การใช้งานได้อย่างคล่องตัว หมดปัญหาเรื่องการหลงตำแหน่ง + หรือ – เมื่อยามที่ต้องการควบคุมในเวลาที่กำลังหมุนพวงมาลัย เพราะเจ้าแป้นควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ของ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ได้ถูกติดตั้งอยู่ที่คอพวงมาลัย ซึ่งทำให้ตัวแป้นจะไม่หมุนตามในเวลาที่เรากำลังหมุนพวงมาลัย

รองรับเชื้อ เพลิงที่หลากหลายสูงสุดถึง E85

เครื่องยนต์สองรุ่นที่ถูกนำมาใช้ในแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ นั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 รุ่น อันมีจุดเด่นอยู่ด้วยกันถึงสองแบบสองความแตกต่าง โดยเครื่องยนต์ตัวแรกที่เรากำลังจะพูดถึงนี้ถูกนำมาใช้ในรุ่น 1.8 FFV (Flexble Fuel Vehicle) ที่มีความพิเศษตรงที่สามารถรองรับพลังงานทางเลือกได้ตั้งแต่น้ำมันเชื้อ เพลิงเบนซินธรรมดา ไปจนถึงน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ E10, E20 และที่สำคัญ สามารถใช้ E85 ได้อย่างสบาย ๆ ด้วยเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1.8 ลิตร 139 แรงม้า พร้อมแรงบิด 17.53 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ 4,200 รอบ/นาที ซึ่งนับเป็นรถยนต์รุ่นที่สองในบ้านเราที่สามารถใช้น้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ E85 ได้จากโรงงาน

ส่วนในรุ่น 2.0 GT ที่นับได้ว่าเป็นรุ่นท็อปสุดของแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ มาพร้อมกับเครื่องยนต์บล็อกใหม่ล่าสุด 4B11 ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว เหมือนในตัว 1.8 แต่ขยับ ซี.ซี. ขึ้นมาเป็น 2,000 ซี.ซี. จนสามารถเรียกพลังแรงม้าได้มากถึง 154 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 20.18 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที แต่เครื่องยนต์ตัวนี้จะสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้แค่เบนซินธรรมดา และเบนซินแก๊สโซฮอล์ E10 และ E20 เท่านั้น ไม่สามารถใช้เบนซินแก๊สโซฮอล์ E85 ได้

ระบบเกียร์อัตโนมัติที่ติดตัวมาให้ทั้งในรุ่น 1.8 และ 2.0 นั้น ได้ใช้ชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT (Continuously Variable Transmission) เหมือนกันทั้งสองรุ่น ด้วยข้อดีของความนุ่มนวลและความต่อเนื่องในการทำงานเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT นี้เอง ที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มิตซูบิชิเลือกเกียร์ตัวนี้มาใช้งานในแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่ โดยในรุ่น 2.0 จะมีความพิเศษกว่า ด้วยการเพิ่มฟังก์ชันการควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวผู้ขับเองเพิ่มเข้ามา โดยจากเดิมที่เกียร์จะทำงานโดยที่ผู้ขับไม่สามารถรู้สึกได้ถึงจังหวะในการ ปรับเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ (จากความต่อเนื่องที่ดีในการทำงานของเกียร์ CVT) แต่เมื่อเข้าสู่โหมดแมนวลนี้ อัตราทดเกียร์จะถูกปรับให้เป็น 6 จังหวะ ที่ให้อารมณ์ความรู้สึกในการขับนั้นเหมือนการขับขี่เกียร์อัตโนมัติแบบปกติ และให้ความสนุกที่เพิ่มขึ้น จากความสามารถในการควบคุมจังหวะเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างอิสระ ช่วยเพิ่มความสปอร์ตในการขับขี่ได้มากขึ้น

หากเน้นสมรรถนะสไตล์สปอร์ต 2.0 GT คือคำตอบที่ดีที่สุด
มาถึงช่วงลองขับกันบ้าง เริ่มแรกกันที่น้องเล็กอย่างเจ้า 1.8 ความรู้สึกที่ได้รับสำหรับการใช้งานในเมืองนั้น นับได้ว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไป จากขุมพลังขนาด 1.8 ลิตร ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการใช้พลังงานทางเลือก E85 ที่ถึงแม้จะมีความสิ้นเปลืองในการใช้มากกว่าการใช้น้ำมันเบนซินปกติ แต่ด้วยระดับราคาแค่ 20 กว่าบาท นับเป็นทางเลือกในเรื่องของการประหยัดได้เป็นอย่างมาก เพียงแต่ในแง่ของการใช้งานในปัจจุบันนั้น ปั๊มน้ำมันที่มีน้ำมัน E85 จำหน่ายนั้นยังมีอยู่น้อย.....มากๆ (แค่ 2 ปั๊ม) ด้วยเหตุนี้ผู้ที่จะได้รับความคุ้มค่ากันจริงๆ ในตอนนี้ก็คือ ผู้ใช้ที่มีบ้านอยู่ใกล้ ๆ ปั๊มที่มี E85 หรือไม่ก็ต้องใช้เส้นทางที่ผ่านปั๊มที่มี E85 เป็นประจำ ถึงจะได้ประโยชน์ในเรื่องนี้จริง ๆ ถัดมาในช่วงเดินทางบ้าง ในหัวข้อนี้สมรรถนะของตัว 1.8 ยังพอที่จะรองรับการใช้งานได้ในแบบทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าหากต้องการความรู้สึกแบบสปอร์ตแล้ว ดูเหมือนเจ้าเครื่องยนต์ 1.8 จะไม่พร้อมที่จะเรียกพลังได้ในแบบทันอกทันใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำความเร็วได้ต่ำนะครับ เพียงแต่ว่ามันจะต้องใช้เวลาในการไต่ความเร็วมากกว่าเจ้า 2.0 อยู่พอตัว ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะการใช้เกียร์ตัวเดียวกันที่มีอัตราทดเหมือนกันในสอง เครื่องยนต์ เลยอาจจะทำให้ไม่สามารถเรียกสมรรถนะได้อย่างเต็มที่



ส่วนในรุ่น 2.0 GT สมรรถนะนั้นไม่เป็นสองรองใคร สามารถที่จะต่อกรกับคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดได้อย่างสบาย ๆ ด้วยทั้งอัตราเร่ง และความเร็วสูงสุดที่ทำได้นั้น ก็อยู่ในระดับที่เกาะกลุ่มหัวแถวไปด้วยกัน จะมีก็เพียงแต่ว่าความรู้สึกที่ราบเรียบในแบบที่ไม่มีจังหวะในการเปลี่ยน เกียร์ของเจ้าเกียร์ CVT ที่ติดตัวมานั้น มันช่างนิ่มนวล ดูไม่มีอารมณ์สปอร์ตสักเท่าไหร่ ซึ่งน่าจะถูกใจคนที่ชอบรถที่ขึ้นแบบนุ่ม ๆ แต่ปัญหานี้ยังมีทางแก้ เพราะแค่เลือกมาที่โหมดสปอร์ต หรือแมนวลโหมด จังหวะเกียร์ที่ว่าราบเรียบจะถูกแบ่งออกเป็น 6 จังหวะ ซึ่งให้ความรู้สึกและอารมณ์เฉกเช่นเดียวกับเกียร์อัตโนมัติทั่ว ๆ ไป อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ขับสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือเชนจ์เกียร์ ลงเพื่อเรียกเอนจิ้นเบรกในยามที่ลงเขาหรือเข้าโค้งได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งเจ้ายางซีรี่ส์ต่ำขอบ 18 นิ้ว ที่ติดตัวมาจากโรงงาน ยังพร้อมสำหรับรองรับการขับขี่แบบสปอร์ตได้เป็นอย่างดี ด้วยการส่งความรู้สึกตรงจากพื้นถนนถึงตัวผู้ขับขี่ ช่วยให้ผู้ขับสามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างคล่องแคล่ว และรวดเร็ว

มาถึงท้ายนี้คงต้องบอกว่า หากเป็นคนที่รักในความสนุกของการขับขี่ ตัวเลือกที่เหมาะสมเห็นที่จะเป็นเจ้า 2.0 GT แต่หากคุณเป็นคนที่ชอบความนุ่มนวลในการขับขี่ ประกอบกับความรักในการใช้พลังงานทางเลือก งานนี้เห็นทีจะต้องมองเจ้า 1.8 ด้วยคุณสมบัติของรถแบบ FFV (Flexble Fuel Vehicle) ที่มีระดับราคาไม่ถึงล้านเพียงคันเดียวในตลาดรถยนต์บ้านเรา ณ ขณะนี้

 

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook