รีวิว Honda City CNG กว้างขวาง นั่งสบาย ประหยัดสะใจ 100 โล 60 บาท

รีวิว Honda City CNG กว้างขวาง นั่งสบาย ประหยัดสะใจ 100 โล 60 บาท

รีวิว Honda City CNG กว้างขวาง นั่งสบาย ประหยัดสะใจ 100 โล 60 บาท
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     อ่านหัวข้อแล้วอย่าเพิ่งงงงวยกันไปเสียก่อน ที่บอกว่า 100 โล 60 บาทนั่นน่ะ ผมไม่ได้มาขายผลไม้ชั่งกิโลอะไรทั้งนั้น แต่เป็น Honda City CNG 2014 ที่กินน้ำมันตกราวกิโลเมตรละ 60 สตางค์ หรือ คิดหากเป็นระยะทาง 100 กิโลเมตร ก็ตกอยู่ราวๆ 60 บาทเท่านั้นเอง

     Honda City CNG ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าติดตั้งระบบก๊าซแบบ CNG มาให้ ซึ่งถือว่าเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกที่สุดในท้องตลาดตอนนี้ แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะข้อเสียที่ผมจะกล่าวต่อไปนั้น คุณก็ต้องรับมันให้ได้ด้วย

     โดยคันที่ผมได้นำมาทดสอบในครั้งนี้ ก็คือ ‘Honda City 1.5 V CNG AT’ ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดในกลุ่ม CNG โดยมีรุ่นรองลงมาได้แก่ ‘S CNG AT’ และ ‘S CNG MT’ ที่ถูกตัดอ็อพชั่นออกไปบางอย่างนั่นเอง

 

     รูปลักษณ์ภายนอกในรุ่น V CNG AT นั้น ยกมาจากรุ่น V AT ปกติ จะต่างกันก็เพียงสัญลักษณ์ CNG บริเวณฝากระโปรงหลังที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น

     ด้านหน้าติดตั้งไฟหน้าแบบมัลติรีเฟลคเตอร์ พร้อมหลอดฮาโลเจน ไม่มีไฟตัดหมอกมาให้ ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม แบบ H-shape ส่วนระบบเบรกเป็นแบบดิสก์ด้านหน้า ด้านหลังเป็นแบบดรัม

 

     ติดตั้งล้ออัลลอยลาย 5 ก้าน ขนาด 15 นิ้ว พร้อมยางขนาด 175/65 R15 มาให้

     เปิดกระโปรงหลังก็จะพบถังบรรจุก๊าซ CNG ขนาด 65 ลิตร ถูกปิดบังไว้ด้วยแผงกั้น ดูกลมกลืนกับห้องสัมภาระท้ายรถ แต่ด้วยถังก๊าซที่มีขนาดใหญ่ ทำให้สูญเสียพื้นที่ขนสัมภาระไปพอสมควร แต่หากไม่ต้องขนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่บ่อยๆก็ถือว่ารับได้ โดยในรูปจะเห็นว่าสามารถบรรทุกกระเป๋าเดินทางขนาดกลางได้สบายๆ

 

     ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วยโทนสีเบจ วัสดุหุ้มเบาะเป็นแบบผ้า คอนโซลกลางติดตั้งเครื่องเสียงที่สามารถเล่น CD/MP3 ได้ 1 แผ่น รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth พร้อมพอร์ต USB/AUX มาให้ ติดตั้งลำโพง 4 จุด ถัดมาด้านล่างเป็นสวิตช์แอร์แบบหมุน ใช้งานง่าย

     ติดตั้งมาตรวัดบอกความเร็วแบบเรืองแสงสีฟ้า พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ถัดลงมาเป็นปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์สีแดงสง่า ทำงานต่อเมื่อพกกุญแจ Smart Key เอาไว้กับตัวผู้ขับ

 

     ด้านขวาของพวงมาลัยเป็นสวิตช์ควบคุมกระจกไฟฟ้า (ไม่มีระบบพับไฟฟ้ามาให้) พร้อมปุ่มปิดการทำงานของระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA และปุ่มแสดงผลการทำงานของระบบก๊าซ CNG โดยจะแสดงปริมาณก๊าซ (แบ่งออกเป็น 4 จุด), สถานะการใช้ก๊าซหรือน้ำมัน และสามารถเลือกการทำงานระหว่างก๊าซและน้ำมันด้วยปุ่มนี้เพียงปุ่มเดียว

     ระบบความปลอดภัยถือว่าจัดเต็ม ทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพ (VSA) ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัด (HSA) ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ (ESS) รวมถึงระบบล็อคประตูอัตโนมัติตามความเร็ว ฯลฯ

 

     เครื่องยนต์ของ Honda City CNG นั้น เป็นเครื่องยนต์เบนซิน SOHC 4 สูบ 16 วาล์วความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบ i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT

     ขณะที่ใช้ระบบก๊าซนั้น กำลังสูงสุดจะถูกลดลงมาเหลือ 102 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 127 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งาน เมื่อเทียบกับความประหยัดที่ได้

 

     เส้นทางที่ใช้ทดสอบสำหรับ City CNG ครั้งนี้ เป็นเส้นทางกรุงเทพฯ-เขาใหญ่ ซึ่งถือว่าไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพ ทั้งยังได้ทดสอบกันแบบยาวๆ เพื่อวัดผลความประหยัดที่ได้จากระบบ CNG อีกด้วย

     เมื่อก้าวขึ้นมานั่งภายในห้องโดยสาร สิ่งแรกที่สัมผัสได้ คือ ความกว้างขวางของห้องโดยสาร จนสามารถเทียบเคียงได้กับรถ C-Segment บางรุ่นเสียด้วยซ้ำ เบาะนั่งคนขับเน้นความนุ่ม จนรู้สึกว่านุ่มนิ่มเกินไปเสียหน่อย ขณะ

     ที่เบาะนั่งด้านหลังให้พื้นที่ช่วงขาแบบเหลือเฟือ ตัวเบาะเว้าร่องลงไปสำหรับผู้โดยสารทั้ง 2 ข้าง พร้อมพนักพิงศีรษะด้านหลังแบบตายตัว ความกว้างขวางของเบาะหลังสามารถรองรับผู้โดยสาร 3 คนได้อย่างสบายๆ

 

     ทันทีที่กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ระบบจะบังคับให้ใช้น้ำมันก่อน จากนั้นเมื่ออุณหภูมิเครื่องยนต์ได้ที่แล้ว จึงจะทำการตัดเป็น CNG ให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจังหวะที่เปลี่ยนจากน้ำมันไปเป็น CNG นั้น มีอาการกระตุกให้รู้สึกเล็กน้อย ซึ่งไม่เป็นปัญหาในการขับขี่แต่อย่างใด

     ด้านอัตราเร่งนั้น ในโหมดก๊าซแม้ตัวเลขตามสเป็คจะดรอปจากโหมดน้ำมันไปพอสมควร แต่การใช้งานจริงถือว่าไม่ต่างกันมาก ซึ่งเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างนิ่มนวล ลื่นไหล สามารถเร่งความเร็วแตะ 100 กม./ชม.ได้อย่างสบายๆ

 

     นอกจากนั้น อัตราทดของเกียร์ CVT ทำให้ใช้รอบต่ำแม้ขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง ซึ่งส่งผลต่อความเงียบภายในห้องโดยสาร รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีขึ้นด้วย เนื่องจากไม่ต้องเค้นพละกำลังของเครื่องยนต์มากเกินไป

     ความเร็วที่ใช้ต่อความเร็วของรอบเครื่องยนต์ (โดยประมาณ) มีดังนี้

  • 80 กม./ชม. ที่ 1,600 รอบต่อนาที
  • 90 กม./ชม. ที่ 1,800 รอบต่อนาที
  • 100 กม./ชม. ที่ 1,900 รอบต่อนาที
  • 110 กม./ชม. ที่ 2,100 รอบต่อนาที
  • 120 กม./ชม. ที่ 2,300 รอบต่อนาที

 

     ช่วงล่างของ Honda City CNG ถูกเซ็ทมาค่อนข้างนิ่ม สามารถดูดซับแรงสะเทือนจากพื้นผิวถนนได้ดี โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านหลุมบน หรือรอยปะของยางมะตอยบนพื้นถนน ไม่ต้องหลบหลุมกันให้วุ่นวาย แต่กระนั้น ตัวถังก็มีอาการโยนให้เห็นพอสมควรเมื่อเค้าโค้งที่ความเร็วสูง  แต่หากเผลอเข้าโค้งด้วยความเร็วจนเกินกว่าที่ช่วงล่างจะรับได้จริงๆ ยังพอมีระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA ช่วยเข้ามาซัพพอร์ตอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งถือว่าน่าชมเชยที่ติดตั้งมาให้ในรถยนต์ระดับนี้ ขณะที่การใช้งานปกติบนทางตรงที่ความเร็วระดับ 100-120 กม./ชม. ถือว่าสบายหายห่วง

     พวงมาลัยถูกเซ็ทมาค่อนข้างเบา ข้อดีคือการซอกแซกในเมืองทำได้ง่าย หมุนพวงมาลัยด้วยมือเดียวก็เอาอยู่ แต่เมื่อใช้ความเร็วสูง กลับรู้สึกว่าเบาเกินไป ต้องใช้สมาธิในการควบคุมเพิ่มขึ้นนิดหน่อย

 

     การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารทำได้ดีมากในรถระดับนี้ ทั้งเสียงปะทะของลม เสียงจากยาง และเสียงจากช่วงล่างอยู่ในเกณฑ์เบา จะมีก็เสียงของเครื่องยนต์เมื่อคิกดาวน์ หรือใช้รอบสูงๆเท่านั้น หากอยู่ในรอบปกติไม่เกิน 3,000 รอบต่อนาที ถือว่าเงียบใช้ได้

     เรื่องสำคัญที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้สำหรับ Honda City CNG นั่นก็คือ ค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรนั่นเอง โดยผมได้ทดสอบโดยการขับจนก๊าซหมด แล้วจึงเต็มเข้าไปจนเต็มถัง แล้วจับระยะทางจนกว่าก๊าซจะหมดอีกครั้ง โดยใช้เส้นทางบายพาสชลบุรีในการทดสอบ ด้วยความเร็วประมาณ 90-120 กม./ชม. รวมถึงใช้งานในเมืองที่มีรถติดเป็นบางช่วง เปิดแอร์ตลอดทาง พร้อมผู้โดยสารทั้งหมด 2 คน

 

     ซึ่งผลการทดสอบผมได้เติมก๊าซเข้าไปทั้งหมดคิดเป็นเงิน 109 บาท (ราคา NGV ขณะนั้น 10.50 บาท) สามารถวิ่งได้ 177 กิโลเมตร เท่ากับตกอยู่กิโลเมตรละ 0.615 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าขับตามปกติ ไม่ได้เน้นความประหยัดเป็นพิเศษแต่อย่างใด เท่ากับว่าหากใช้ความเร็วต่ำและคงที่กว่านี้ ย่อมได้ตัวเลขที่ดีกว่านี้แน่นอน

     แต่!!!

     ค่าเชื้อเพลิงที่ถูกแสนถูกเช่นนี้ กลับต้องแลกมาด้วยข้อเสียบางอย่าง ที่คิดว่าคุณผู้อ่านก็คงพอจะเดาถูกเช่นกัน.... ใช่แล้วครับ มันคือการ ‘รอเติมก๊าซ’ นั่นเอง

 

บรรยากาศภายในห้องโดยสารยามค่ำคืน

 

     บอกคุณผู้อ่านไว้ก่อนเลยว่ารถคันนี้ เป็นรถติดตั้ง CNG คันแรกในชีวิตของผมที่ได้ทดลองขับ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่อยู่กับรถคันนี้ ผมเติมก๊าซไปกว่า 3 ครั้ง แต่ละครั้งต้องใช้เวลารอคิวไม่ต่ำกว่า 10 นาที ยังไม่รวมระยะเวลาเติมก๊าซลงถังจริงๆ ที่แม้จะเติมได้เพียงร้อยกว่าบาท แต่ก็ใช้เวลานานพอๆกับเติมน้ำมันรถยุโรปจนเต็มถังนั่นแหละ

     นอกจากนั้น หากปั๊มมีแรงดันไม่มากพอ ก็จะทำให้ได้ปริมาณก๊าซไม่เต็มถัง ขึ้นอยู่กับแรงดันของแต่ละปั๊มด้วย

     แต่หากโชคดีเจอปั๊มที่อยู่ในแนวท่อส่งก๊าซ ก็จะใช้เวลารอคิวน้อยกว่าเนื่องจากมีหัวจ่ายจำนวนมาก จนบางครั้งอาจไม่ต้องรอเลยด้วยซ้ำ หนำซ้ำยังใช้เวลาเติมก๊าซน้อยลงอีกด้วยเนื่องจากมีแรงอัดสูงกว่าปั๊มที่ไม่ได้อยู่ในแนวท่อนั่นเอง

     ซึ่งจุดนี้อยากแนะนำให้ผู้ที่สนใจรถรุ่นนี้อยู่และยังไม่เคยใช้รถ CNG มาก่อน ควรลองศึกษาปั๊ม NGV ใกล้ๆบ้านไว้ด้วยว่าอยู่จุดใดบ้าง เพื่อความสะดวกในการเติมเป็นประจำ

 

     สรุป Honda City CNG รูปลักษณ์ภายนอกดูดี ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย ช่วงล่างนิ่มนวล เหมาะสำหรับใช้งานในครอบครัว อัตราเร่งในโหมดน้ำมันค่อนข้างดี ในโหมด CNG ก็ไม่ขี้เหร่ ลูกเล่นเพียงพอต่อการใช้งาน จุดเด่นคือค่าเชื้อเพลิงที่ประหยัดกว่าน้ำมันอย่างเห็นได้ชัด จนถือว่าน่าประทับใจ แต่ต้องรับข้อเสียให้ได้หากต้องรอคิวเติมก๊าซ ถ้าได้ปั๊มใกล้บ้านที่ไม่ต้องรอคิวนานนักก็ถือว่าโชคดีไป

 

     เรียบเรียงข้อมูลและภาพประกอบโดย 'หน้าหล่อ'

 

 

อัลบั้มภาพ 35 ภาพ

อัลบั้มภาพ 35 ภาพ ของ รีวิว Honda City CNG กว้างขวาง นั่งสบาย ประหยัดสะใจ 100 โล 60 บาท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook