ประสบการณ์ขับ BMW 320i Luxury เที่ยวหัวหินแบบชิลๆ กับ Performance Motors

ประสบการณ์ขับ BMW 320i Luxury เที่ยวหัวหินแบบชิลๆ กับ Performance Motors

ประสบการณ์ขับ BMW 320i Luxury เที่ยวหัวหินแบบชิลๆ กับ Performance Motors
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     หลังจากที่ Sanook!Auto ของเราห่างหายจากการทดสอบรถหรูไปบ้าง ประกอบกับตัวแทนจำหน่าย BMW อย่าง Performance Motors ก็เพิ่งเปิดตัวโชว์รูมสาขาใหม่บนถนนจรัญสนิทวงศ์ไปไม่นาน จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะเข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ขับขี่รถหรูสัญชาติเยอรมันแบรนด์ดังกันดูบ้าง


     ไหนๆ แล้วเราก็ยังไม่เคยทดสอบเจ้า BMW 320i Luxury ขึ้นเว็บกันมาก่อน ดังนั้นเราจึงขอถือโอกาสนี้ในการทำรีวิวมาให้คุณผู้อ่านได้สัมผัสถึงสมรรถนะเครื่องยนต์เบนซิน TwinPower Turbo อันเลื่องชื่อของ BMW กันพอหอมปากหอมคอด้วย

     เราเดินทางมาถึงโชว์รูม Performance Motors สาขาจรัญสนิทวงศ์ในช่วงเช้า ซึ่งถนนเส้นนี้กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน จึงทำให้มีการจราจรติดขัดบ้าง แต่หากการก่อสร้างเสร็จเมื่อไหร่ รับรองว่าความเจริญจะต้องหลั่งไหลเข้ามาสู่ฝั่งธนบุรีจนกลายเป็นถนนสำคัญอีกเส้นหนึ่งในอนาคตอย่างแน่นอน

 

     ก้าวเข้ามายังตัวโชว์รูม ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพนักงาน ภายในมีรถ BMW หลายรุ่นจอดเรียงรายให้ได้สัมผัสกัน จากนั้นไม่นาน คุณธเนศร์  เพิ่มวุฒิวรนันท์ ผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ก็ได้มากล่าวต้อนรับสื่อมวลชนที่เข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้อย่างเป็นกันเอง

     ไม่นานเราจึงเริ่มออกเดินทาง โดยเส้นทางที่ใช้ในการเดินทางครั้งนี้ มีจุดหมายปลายทางที่ ร้านอาหารบ้านอยู่เย็นสาขาใหม่ในอำเภอหัวหัน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินหัวหินนั่นเอง ซึ่งบรรยากาศดีขึ้นกว่าร้านเดิมบนถนนแนบเคหาสน์ เพราะออกแบบให้ดูโปร่งโล่ง รับลมทะเลได้เต็มที่ ใครเป็นขาประจำร้านนี้ห้ามพลาด

 

     การเดินทางครั้งนี้ เราได้ขับ BMW 320i Luxury ซึ่งเป็นรถคอมแพ็คหรูของทางค่าย ขณะที่สื่อมวลชนท่านอื่นก็มีโอกาสได้ทดสอบต่างรุ่นกันไป ทั้ง 520i, 320d GT, 420i  X1 รวมไปถึงโรดสเตอร์อย่าง Z4 ด้วย

     BMW 320i Luxury ถือเป็นรุ่นเริ่มต้นของตระกูลซีรีย์ 3 เครื่องยนต์เบนซิน ที่จำหน่ายในเมืองไทย เน้นตกแต่งในสไตล์หรูหราตามชื่อ Luxury ที่โดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่แบบโครเมี่ยม ติดตั้งล้ออัลลอย Multi-spoke ขนาด 17 นิ้ว พร้อมตกแต่งขอบกระจกด้วยโครเมี่ยม และแถบโครเมี่ยมบริเวณกันชนท้าย สะท้อนความหรูหรา

     ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีเบจ ตัดด้วยลายไม้อย่างหรูหรา และเป็นรุ่นเดียวที่เพิ่มแถบโครเมียมรอบแผงควบคุมระบบปรับอากาศ และวิทยุรีโมทประตูและกุญแจรถดีไซน์หรูด้วยสีดำตัดโครเมียม

 

     บีเอ็มดับเบิ้ลยู ซีรี่ย์ 3 ใหม่ ยังมาพร้อมระบบ iDrive ทุกรุ่นย่อย โดยระบบนี้จะควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานในรถเกือบทุกอย่าง ทั้งระบบเครื่องเสียง, ระบบนำทาง, ระบบโทรศัพท์ รวมถึงการตั้งค่าต่างๆภายในตัวรถ สามารถสั่งงานด้วยปุ่มควบคุมบริเวณคอนโซลกลาง ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่ดี เพราะไม่ต้องเอื้อมมือไปกดปุ่มบนแผงคอนโซลเหมือนรถค่ายอื่นๆ ที่อาจส่งผลให้เสียสมาธิการการขับรถได้

     ข้อดีของระบบ iDrive ที่เหนือกว่าคู่แข่งจากที่เราได้สัมผัสมา คือ Interface ของระบบที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน แม้ว่าตัวระบบเองจะสามารถควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในรถได้เกือบทั้งหมดก็ตาม เรียกว่าถ้าใครสามารถใช้งานสมาร์ทโฟนได้ ก็สามารถใช้งานระบบ iDrive ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน

 

     เผลอแป๊ปเดียวเรามุ่งหน้ามาถึงถนนพระราม 2 กันแล้ว ซึ่งการจราจรก็เอื้ออำนวยพอที่จะให้เราสัมผัสถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์เบนซิน TwinPower Turbo ได้บ้าง ซึ่งพูดเลยว่าไม่ผิดหวัง เพราะ 320i คันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบ ที่ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า (HP) ที่ 5,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250 – 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด

     พละกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์หลังจากเหยียบคันเร่งจนสุดเรียกได้ว่าไหลมาเทมา ตัวรถสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้แทบจะตามใจสั่ง บวกกับเกียร์อัตโนมัติที่ซอยย่อยถึง 8 จังหวะ ที่ช่วยให้กำลังลื่นไหลอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การเปลี่ยนเกียร์ก็นุ่มนวล ไร้อาการกระตุกให้รำคาญใจ

 

     ซึ่งคาแร็คเตอร์ของ 320i จะต่างออกไปจาก 320d ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลอย่างชัดเจน เพราะจริงอยู่ที่ว่าแรงบิดสูงสุดของ 320d จะมาในรอบต่ำ แต่ก็จะหมดไปอย่างรวดเร็วที่รอบสูงเช่นกัน ดังนั้น หากเหยียบคันเร่งของ 320d จนสุด ตัวรถจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นจะเริ่มแผ่วลงเมื่อรอบเครื่องยนต์ขึ้นสูง ต้องรอให้เกียร์เปลี่ยนขึ้นอีกหนึ่งจังหวะ จึงจะได้แรงบิดกลับมาอีกครั้ง

     แต่หากเรากดคันเร่งของ 320i ลงไปจนสุด เราอาจต้องรอเวลาให้เครื่องยนต์ลากรอบขึ้นไปเล็กน้อย แต่เมื่อเข็มวัดรอบผ่านช่วง 4,000 รอบต่อนาทีไปแล้ว กำลังที่ได้ต่อจากนั้นเรียกว่าเทน้ำเทท่า ลื่นไหลต่อเนื่องกว่าที่พบในเครื่องยนต์ดีเซล ส่งผลให้ขับขี่ได้สนุกขึ้น ได้อารมณ์สปอร์ตมากยิ่งขึ้น

 

     ขณะการเพิ่มความเร็วเพื่อการเร่งแซงตามปกตินั้น อย่างที่บอกว่าหากใช้การคิกดาวน์ หรือการเหยียบคันเร่งจนสุดนั้น กำลังที่ได้จาก 320i จะรู้สึกว่าดึงกว่า 320d อยู่เล็กน้อย แต่หากเป็นการค่อยๆ เพิ่มความเร็วด้วยการเติมคันเร่งเบาๆ อย่างที่เราทำกันโดยปกติแล้วล่ะก็ จุดนี้ 320d จะได้เปรียบกว่า เพราะแรงบิดที่มาเยอะกว่า (แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร) ช่วยให้เพิ่มความเร็วได้ทันใจกว่านั่นเอง

     อีกบุคลิกหนึ่งที่ซีรีย์ 3 โมเดล F30 คันนี้ เปลี่ยนไปจากโมเดล E90 เดิมพอสมควร ก็คือช่วงล่างที่เซ็ทมาแบบนุ่มนวล ผิดจากเดิมที่จะออกแข็งๆ หนึบๆ ทำให้ความรู้สึกภายในห้องโดยสาร เหมือนกับว่าเรากำลังขับรถขนาดใหญ่กว่าความเป็นจริง ซึ่งบางทีเราแทบจะนึกว่าเรากำลังขับซีรีย์ 5 อยู่เลยทีเดียว

 

     แต่ใครที่รักฟีลลิ่งสปอร์ตตามฉบับบีเอ็มดับเบิ้ลยูก็ไม่ต้องรีบเบ้ปากร้องยี้กันไปเสียก่อน เพราะแม้ช่วงล่างจะนุ่มนิ่มผิดจากรุ่นเดิมๆ ที่เคยเป็นมา แต่ก็ยังรู้สึกถึงการเกาะถนนอันดีเยี่ยม รวมถึงความเสถียรของช่วงล่าง ที่แม้ว่าบางจังหวะจะใช้ความเร็วระดับ 140-150 กม./ชม. แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนขับด้วยความเร็วราว 100-110 กม./ชม.ยังไงยังงั้น จนคุณภณ นักทดสอบรถมือดีจากนิตยสาร Torque ซึ่งนั่งรถไปกับเราด้วย ถึงกับควักสมาร์ทโฟนเพื่อเปิดจีพีเอส วัดความเร็วกันให้รู้ดำรู้แดงไปเลย ก่อนจะพบว่าความเร็วจริงของ 320i คันที่เราขับนั้น เพี้ยนไปจากหน้าปัดเพียง 4 กม./ชม. (ความเร็วหน้าปัด 100 กม./ชม. ความเร็วจากจีพีเอส 96 กม./ชม.) ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเพี้ยนที่พบได้ทั่วไปของรถสมัยนี้

 

     การเซ็ทช่วงล่างแบบนี้ แม้ว่าอาจจะขัดใจแฟนๆบีเอ็มดับเบิ้ลยูไปบ้าง แต่ก็ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองอย่างกรุงเทพมหานครนี่แหละ เพราะอย่าลืมว่าถนนแต่ละเส้นในกรุงเทพฯนั้น เต็มไปด้วยหลุมเอย ฝาท่อที่ไม่เสมอกับพื้นถนนเอย หรือแม้แต่การซ่อมถนนแบบลวกๆ จากผู้รับเหมาที่ไม่ได้สนใจเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่ยานพาหนะของคนทั่วไปเอย แต่ช่วงล่างของ BMW 320i สามารถรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้หมด ยังคงให้ความนุ่มนวล นั่งสบาย แต่เมื่อไหร่ที่ต้องใช้ความเร็วเมื่ออยู่นอกเมือง ก็ยังให้ความมั่นใจได้เป็นอย่างดี

     แม้การเดินทางครั้งนี้ เราจะไม่มีโอกาสได้ทดสอบอัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลือง แต่ BMW 320i ก็ถูกเคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ไว้ที่ 7.4 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 230 กม./ชม. ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองแบบ Combined Mode ตามมาตรฐานยุโรปทั้งในเมืองและนอกเมือง อยู่ที่ 22.7 กิโลเมตรต่อลิตร

 

     ซึ่งแม้จะต่อให้การใช้งานจริงในบ้านเราอาจลดลงไปอีกสัก 5 กิโลเมตรต่อลิตร ก็ยังได้อัตราสิ้นเปลืองที่ราว 17-18 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าน่าพอใจเป็นที่สุด เพราะได้สมรรถนะตามฉบับรถยุโรป แต่อัตราสิ้นเปลืองเพียงระดับรถซับคอมแพ็คจากค่ายญี่ปุ่นเท่านั้น

 

     เอาเป็นว่าหากใครงบถึง และกำลังมองหารถคอมแพ็คระดับหรูไว้ใช้งานซักคัน BMW 320i ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี แลกกับค่าตัว 2.349 ล้านบาทแล้วก็ยังถือว่าคุ้มค่า หากเทียบกับสิ่งที่ได้กลับมาขนาดนี้ หรือหากงบยังเหลือจะลองขยับไปเล่น 328i M Sport ที่มีกำลังเครื่องยนต์แรงกว่า ก็น่าสนใจไม่น้อย

 

     ขอขอบคุณ บริษัท เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด สาขาจรัญสนิทวงศ์ ที่ให้เกียรติเชิญทีมงานเข้าร่วมการเดินทางในครั้งนี้

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook