พล ตัณฑเสถียร ซื้อรถซื้อได้...แต่อย่าให้เป็นภาระ

พล ตัณฑเสถียร ซื้อรถซื้อได้...แต่อย่าให้เป็นภาระ

พล ตัณฑเสถียร ซื้อรถซื้อได้...แต่อย่าให้เป็นภาระ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ห่างหายจากวงการไปนานหลายปี สำหรับหนุ่มคนนี้ “พล ตัณฑเสถียร” ซึ่งหลายคนยังคงจำกันได้กับบทบาทและภาพลักษณ์ของ “คุณชาย”มาดเนี้ยบในช่วงละครหลังข่าว แล้วที่แว่วมาว่าปัจจุบันคุณชายนายนี้ได้หันหลังให้กับวงการบันเทิงแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือ?...แล้วเขาหายไปไหน และกำลังทำอะไร?!...

 

“ปัจจุบันผมทำรายการอาหารอยู่ ชื่อรายการ “พลพรรคนักปรุง” เป็นรายการอาหารตอนเช้านิด ๆ วันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 08.45-09.00 . ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี นอกจากนี้ก็ยังทำกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและแวดล้อมด้วยอาหารนี่แหละครับ...” พล ตัณฑเสถียรกล่าว

ความจริงแล้วหนุ่มคนนี้ ไม่ได้ห่างหายไปไหนไกล แต่เขากำลังปั้นงานที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาด้วยใจรักอย่างจริงจังให้กลายเป็น ความจริง นั่นคือ การเป็น “เชฟ”เต็มตัว ประกอบกับการสร้างผลงานที่เกี่ยวข้องกับอาหาร อาหาร และอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการทำรายการ “พลพรรคนักปรุง” การก้าวเข้าสู่วงการนักเขียนคอลัมนิสต์ด้านอาหารคาวหวาน หรือแม้กระทั่งการเป็นเจ้าของร้านอาหารอย่างเต็มตัว

 

รายการ “พลพรรคนักปรุง” จุดเริ่มต้นมาจากจุดไหน...ทำไมถึงอยากทำรายการอาหาร

 

“จุดเริ่มต้นของรายการพลพรรคนักปรุง มาจากเมื่อก่อนผมเคยเป็นพิธีกรรายการอาหาร รายการหนึ่ง เริ่มมีกลุ่มแฟนรายการที่ติดตามชมเยอะ และด้วยความที่ชอบในการเป็นพิธีกร ชอบทำอาหาร ประกอบกับเรียนมาด้านนี้โดยตรงด้วย ผมเลยลองขอเวลากับทางโมเดิร์นน์ทีวีดู ซึ่งผู้ใหญ่ก็ได้มอบโอกาสดี ๆ นี้มาให้ครับ”

 

นอกจากทำรายการยังมีร้านอาหาร “สปริงแอนด์ซัมเมอร์”ที่ต้องดูแล...

 

“ใช่ครับ สำหรับร้านสปริงแอนด์ซัมเมอร์ปีนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว คือเปิดมาตั้งแต่ปี 2004 หลายคนเรียกกันจนติดปากว่า “ร้านสปริงแอนด์ซัมเมอร์” แต่ความจริงแล้วมันเป็นคนละร้านกัน ร้านสปริงเป็นแบบ Dining Room และร้านซัมเมอร์เป็นแบบ Chocolate House ตอนนั้นถือว่าเราเป็นร้านแรก ๆ ของเมื่อ 6 ปีที่แล้วที่มีร้านสองร้านตั้งอยู่ในระแวกเดียวกัน ผมจึงตัดสินใจว่าทำเป็นร้านอาหารร้านหนึ่งและร้านขนมร้านหนึ่ง”

“เมื่อคิดได้ว่าจะทำจริงจัง...เราก็ต้องแบ่งโซนร้านให้เห็นกันอย่างชัดเจน โดยซัมเมอร์เป็นร้านขนม ซึ่งหมายถึง วันหยุดฤดูร้อน ขนมไม่ใช่ปัจจัยสี่ไม่กินก็ไม่ตาย เพราะฉะนั้นขนมถ้าจะกินก็ต้องทำให้อร่อยสุด ๆ เหมือนเป็นการปลดปล่อยตัวเองเต็มที่ อยากทานขนมอร่อย ๆ ก็ต้องทาน ตรงตามคอนเซ็ปต์การปรนเปรอตัวเอง”

“ส่วนร้านสปริง เราเปรียบเทียบอาหารของเราเหมือนช่วงฤดูใบไม้ผลิ คือคนที่รับประทานอาหารก็จะคิดถึงประสบการณ์การกิน ผมคิดว่าการรับประทานอาหารสักมื้อมันน่าจะเป็นอะไรที่สร้างประสบการณ์ที่ดี ได้ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่การเซอร์วิสที่ดี ได้รับเครื่องดื่มดี ๆ ระหว่างทานอาหารก็ได้อาหารดี ๆ บรรยากาศก็ต้องดี เมื่อทานเสร็จแล้วรสชาติหลังการกินก็ควรจะดีด้วย โจทย์ที่เราตั้งไว้ก็คือ ร้านสปริงต้องเป็นการสร้างการรับประทานอาหารที่อิ่มแล้วสบายตัว อร่อยตลอดเวลา”

 

รูปแบบร้าน สไตล์อาหารเป็นแบบไหน…

 

“ตอนแรกผมเปิดเป็นร้านอาหารไทย ต่อมาลูกค้าก็เริ่มอยากทานสปาเกตตีบ้าง อะไรบ้าง จนถึงวันนี้เราจบตรงที่คำว่า “Asian Cusine” เป็นอาหารลูกผสม มีญี่ปุ่นบ้าง เกาหลีบ้าง อินเดียบ้าง ไทยบ้าง คือเป็นอาหารที่เรารับประทานกันง่าย ๆ แล้วค่อย ๆ ปรับมาเป็นอาหารที่เหมาะสมตามแบบฉบับของ พล ตัณฑเสถียร”

 

“ซึ่งช่วง 3 ปีแรกไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นร้านของ “พล” เพราะ 3 ปีนั้นผมค่อนข้างกลัว ไม่อยากให้มีภาพของดาราเป็นเจ้าของร้านอาหาร เพราะช่วงนั้นผมยังทำอาหารได้ไม่เก่งพอ ผมกลัวคำว่า “พลลงมือทำอาหารเอง...แล้วจะทานได้เหรอ” อะไรประมาณนี้มากกว่า ผมอยากให้ร้านมันอยู่ได้ด้วยตัวเองก่อน หากสำเร็จจริงผมก็โผล่หน้าออกมาแสดงตัวว่านี่คือ “ของผม”

“บอกตามตรงช่วงแรกสื่อก็มาถ่ายร้านนี้อยู่บ้าง แต่ด้วยเพราะมันเป็นร้านอาหารธรรมดา ๆ เท่านั้นไม่ใช่เพราะตัวผม ซึ่งก็ไม่นานนักร้านเราก็เริ่มได้ลงหนังสือนิตยสารเมืองนอกเรื่อย ๆ อาทิ New York Time, Wallpaper ของอังกฤษ ด้วยภาพลักษณ์ของร้านอาหารแปลกใหม่ นั่งทานข้าวกลางสนามหญ้า บรรยากาศสบาย ๆ ซึ่งสื่อพวกนี้มีพาวเวอร์มาก มันเหมือนเป็นไกด์บุ๊คให้เรา ซึ่งถือว่าผมโชคดีเอามาก ๆ ที่ได้รับการประชาสัมพันธ์และการตลาดดีเกินคาด”

 

พักเรื่องงานมาพูดเรื่องรถกันบ้าง ปัจจุบันใช้รถคันไหน...รถคันแรกในชีวิตยี่ห้ออะไร...

 

“ตอนนี้ผมใช้ BMW Z3 อยู่ ซึ่งก็ใช้งานเป็นประจำสลับกับ Jaguar รุ่นเก่า ...ซึ่งทั้งสองคันเป็นรถที่ดีนะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร ส่วนรถคันแรกที่ใช้จำได้ว่าเป็น Toyota 2 ประตู (รถมรดกของพี่ ๆ) ซึ่งนานมากแล้ว”

 

“จำได้ว่าเริ่มขับรถตอนอายุประมาณ 12 ปี ขับเองนะไม่มีใครสอน แอบขับเองด้วย รถคันแรกที่ลองขับคือรถตู้ส่งของที่บ้าน บังเอิญทางบ้านผมเป็นร้านขายน้ำสิ่งมึนเมาทั้งหลายแหล่ เรียกว่าเป็นตัวพ่ออิมพอร์ตเหล้าต่างประเทศเข้ามาเลย คือลักษณะงานที่ทำต้องขับรถไปส่งของ ถ้าผมไม่มีอะไรทำก็จะนั่งโดยสารไปกับลูกน้องพ่อเวลาไปส่งของ”

 

“พออายุ 12 ปี ก็เริ่มแข้งขายาว ตัวยาวพอจะเหยียบคลัตช์ถึงก็ลองขอลูกน้องพ่อขับ พ่อก็ปล่อยให้ขับ ขับรถตู้ด้วย แถมเกียร์มืออีกต่างหาก สรุปแล้วคือเป็นคนที่ขับรถได้ทุกประเภท รถใหญ่ รถเล็ก เกียร์อัตโนมัติ เกียร์ธรรมดา หน้าสั้นหน้ายาวได้หมด เป็นคนชอบขับรถมาก”

 

ขับรถตอนแรก ๆ เคยมีเหตุระทึกบ้างหรือไม่...

 

“คันที่ 2 Honda Civic รถนำเข้ารุ่นแรกของ Honda เลย สมัยนั้นคนยังไม่มั่นใจในแบรนด์ Honda เท่าไร ผมจำได้ว่ารถผมเป็นคันที่ 6 ที่นำเข้า (เลขตัวถังระบุไว้) ซึ่งเผลอแป๊บเดียว Honda ก็โตขึ้น ๆ มาก ๆ เพราะเซอร์วิสเขาดีมาก แต่ผมก็ขับได้ไม่นาน ก็ต้องขายทิ้งไปเพราะขับชนกำแพงเละทั้งคัน อุบัติเหตุครั้งแรกนี้แรงมาก ขับไปโรงเรียนแล้วชนประตูโรงเรียนเพียงแค่เลี้ยวพลาดล้อหน้าเบี้ยวไปเลย”

“แต่เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้กลัวหรือท้อนะ แต่ก็สอนให้รู้ว่าเราต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น พอหลังจากคันนั้นผมก็ขับรถของที่บ้านไปเรื่อย ๆ จนมาเป็นเจ้าของเอง นั่นคือ Peugeot 309 ตอนออกมาใหม่ ๆ มันน่ารักมาก ตอนนั้นช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยใช้ได้ไม่นานก็เริ่มพบความกระจ่าง นั่นคือ ผมซ่อมไม่ไหว อะไหล่แพงมาก แถม Peugeot คันนี้ฮามาก มีช่วงหนึ่งขับรถไปแล้วแอร์มันร้อนมาก ลองบิด ๆ ดู ทำไมรู้สึกมันยืด ๆ สรุป พลาสติกละลายออกมาเป็นเส้น ๆ หักออกมาเป็นชิ้น ๆ มีอีกครั้งคือขับรถไป รถยังไม่ดับเลยนะ แต่คลัตช์ไปแล้ว เหยียบแล้วจมมิดด้าม ขำมากซื้อเพราะชอบหน้าตาแบบ 5 ประตูสั้น ๆ น่ารักจริง ๆ”

 

“จากนั้นก็เป็น BMW 318i เป็นรถที่โอเคมากมาย แต่สุดท้ายก็มามีอุบัติเหตุอีกครั้ง ตอนนั้นจำได้ว่าขับอยู่แถวแยกยมราช จอดรถอยู่เฉย ๆ ตอนดึก ๆ มองเห็นเลยครับ มองกระจกหลัง มีรถเก็บขยะพุ่งเข้ามาเรื่อย ๆ เอ๊ะ...ทำไมเขาไม่เบา แค่ 2 วินาทีรถผมก็ลอยไปอยู่กลางสี่แยก สรุปแล้วคนขับเมาไม่ยอมเบรก เลยอัดเข้าเต็ม ๆ ท้าย BMW ...ที่ขำคือเพื่อนผมกำลังนั่งชันเข่าแคะเล็บอยู่ข้าง ๆ ต้องเข้าโรงพยาบาลยาวเลย แต่ผมไม่เป็นไรแค่เข้าเฝือกคอ โชคดีมากที่ตอนนั้นเป็นช่วงดึกมาก ๆ ถ้ามีรถวิ่งสวนมาคงลำบาก ตอนแรกว่าจะเดินไปหาเรื่องคนขับรถขยะ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเข้าไป เพราะเลือดท่วมตัวคนขับเลย ไม่ใส่เสื้อด้วยนะ เมาหนักจริง ๆ”

 

จำเป็นหรือไม่ กับคำว่า ดาราต้องคู่กับรถป้ายแดง...

 

“ไม่นะ...ผมไม่มีเงินซื้อหรอก การลงทุนกับรถผมคงลงทุนได้แค่ระดับหนึ่ง ส่วนที่อยู่อาศัยผมว่าสำคัญกว่าพาหนะมาก โดยส่วนตัวผมคิดว่าเลือกของตามทุนทรัพย์ เวลาซื้อรถก็ให้คิดเสียว่าซื้อแล้วอย่าให้เป็นภาระกับตัวเองดีกว่า ผมถึงเลือกซื้อแต่รถเก่ามือสอง ถ้าไม่ชอบก็เอากลับไปวางขายต่อได้ แต่ถ้าซื้อมาแล้วก็ต้องยอมรับสภาพ”

 

“ปัจจุบันผมมีรถอยู่ทั้งหมด 4 คัน เป็นรถมือ 5 มือ 6 ทั้งหมด คือเป็นคนเห็นรถคันไหนสวยถูกใจก็จบเอาหมดไม่จำเป็นต้องใหม่ป้ายแดง ไม่มีความรู้เรื่องรถเลย คันไหนดีไม่ดีผมไม่รู้ดูที่น่าตาก่อน ตอนนี้มี Jaguar รุ่นเก่า ต่อมาก็เดมเลอร์ ซึ่งก็มีปัญหาเข้าอู่พร้อมกันเรื่อย ๆ สลับกันไป จากนั้นก็มี BMW Z3 และโฟล์คสวาเกน คามานเกีย”

แล้วรถในฝันล่ะ...

“ตอนนี้ใช้ Z3 ก็เรื่อย ๆ นะ เป็นรถที่ไม่ปัญหาเมื่อเทียบกับจากัวร์และเดมเลอร์ ถ้าถามว่ามีรถในฝันหรือไม่...ผมก็มีนะ อยากได้รถตู้นั่งสบาย ๆ ประมาณ Volkswagen ตู้คอมเมอเชียลใหญ่ ๆ แบบซื้อง่ายขายคล่อง คือ ผมต้องทำงานกันทีมงานตลอดเวลา ขนหม้อขนไหไปไหนต่อไปทั่ว เวลาขนของถึงท้าย Jaguar ทำงานแล้วมันไม่คล่องตัว ณ ตอนนี้อยากได้รถตู้ใหญ่ ๆ จริง ๆ”

 

ก่อนจะจากกันไป อยากให้ฝากทิ้งท้ายถึงคนใช้รถใช้ถนน...

 

“จริง ๆ แล้วมันก็มาตั้งแต่เราได้ใบขับขี่ บางทีก็มีเส้นมีสายบ้าง ครูสอนขับรถเองขับรถห่วยแตกมากก็มี เวลาวิ่งผ่านสี่แยกไฟแดงที ถ้าจะวิ่งตรงก็เปิดไฟ Hazard ซึ่งจะเปิดทำไมก็ไม่รู้?... คุณรู้มั้ยคุณกำลังหลอกรถคันข้าง ๆ ซ้ายขวาของคุณอยู่ คนขับรถผมเองเนี่ยแหละเปิดเป็นประจำ อย่างนี้มันอันตราย รถฝั่งซ้าย-ขวาไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณจะไปทางไหน”

“ถามว่ามันคือวัฒนธรรมที่ฝังลึกมานานนมยากจะแก้ไข แต่มันแก้ได้นะขึ้นอยู่กับตัวของคุณเอง แต่ผมว่าท่าจะยากมากหากจะแก้ มันเป็นการผสมปนเปกันบนท้องถนน อย่างน้อยก็อยากให้ลองมองถึงคนรอบข้างบ้างก็พอ ...มีน้ำใจให้กันบนท้องถนนมาก ๆ นะครับ”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook