รีวิว Subaru Forester 2.0i-L ขอร้องอย่ามองแค่รูปลักษณ์..เพราะนี่คือเอสยูวีที่ขับมันส์ที่สุด!

รีวิว Subaru Forester 2.0i-L ขอร้องอย่ามองแค่รูปลักษณ์..เพราะนี่คือเอสยูวีที่ขับมันส์ที่สุด!

รีวิว Subaru Forester 2.0i-L ขอร้องอย่ามองแค่รูปลักษณ์..เพราะนี่คือเอสยูวีที่ขับมันส์ที่สุด!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของรถยนต์จากค่าย ‘Subaru’ มาไม่มากก็น้อย แต่พอเอาเข้าจริงๆ หากกำลังมองหาเอสยูวีซักคัน ก็มักจะมองข้ามรถจากค่ายดาวลูกไก่นี้ไปอย่างน่าเสียดาย ไหนจะรูปลักษณ์ที่อาจไม่ยั่วยวนใจนักเมื่อเทียบกับค่ายอื่น รวมถึงชื่อเสียงของแบรนด์ซูบารุในไทย ที่ยังอยู่ในวงจำกัดพอสมควร

     หารู้หรือไม่ว่าคุณอาจกำลังมองข้ามรถเอสยูวีราคาระดับ 2 ล้านบาทบวกลบ ที่ขับมันส์ที่สุดคันหนึ่งในตลาดเลยทีเดียว

     ล่าสุด Sanook! Auto ได้รับเชิญเพื่อเข้าร่วมทดสอบสมรรถนะของ ‘Subaru Forester’ และ ‘Subaru XV’ บนเส้นทางกรุงเทพฯ-เขาใหญ่-ปราจีนบุรี ทีมงานจึงไม่พลาดร่วมทดสอบเพื่อมาบอกเล่ากับคุณผู้อ่านครับ
น่าเสียดายที่ทริปนี้ เรามีโอกาสทดสอบ ‘Forester 2.0i-L’ เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น สำหรับใครที่กำลังเล็ง ‘XV’ อยู่ เราจะพยายามนำมารีวิวให้ได้ทราบกันในโอกาสต่อไปครับ

 

     ก่อนอื่นเราขอแนะนำเจ้า Subaru Forester 2.0i-L กันก่อนดีกว่า เริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอก ที่มาพร้อมไฟหน้าแบบ HID ปรับระดับอัตโนมัติ สามารถเปิด-ปิดอัตโนมัติเมื่อเข้าที่มืด พร้อมที่ฉีดน้ำไฟหน้า ออกแบบรับกับกระจังหน้าโครเมี่ยมทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ พร้อมแถบโครเมี่ยมขนาดใหญ่ 1 แถบ แปะโลโก้ดาวลูกไก่ไว้ตรงกลาง ติดตั้งไฟตัดหมอกบริเวณกันชน พร้อมตกแต่งชายกันชนด้วยแผงสีดำเพิ่มความดุดัน

 

     ด้านข้างถูกออกแบบสไตล์เหลี่ยม ด้วยกระจกหน้าต่างขนาดใหญ่ทั้ง 4 บาน กระจกมองข้างติดตั้งไฟเลี้ยว พร้อมเส้นสายซุ้มล้อที่โป่งนูนชัดเจนเพิ่มความบึกบึน ด้านหลังติดตั้งไฟท้ายทรงตั้งสีแดง-ขาวพร้อมไฟตัดหมอกหลัง ประตูท้ายบานใหญ่สามารถเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า (เฉพาะรุ่น 2.0XT) พร้อมสปอยเลอร์ด้านหลัง

     นอกจากนั้น ยังติดตั้งหลังคาซันรูฟขนาดใหญ่ เปิด-ปิดได้ด้วยไฟฟ้า พร้อมราวหลังคาสำหรับติดตั้งอุปกรณ์เสริมได้ เช่น แร็คยึดจักรยาน เป็นต้น ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 225/60 R17

 

     ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วยสีดำ ตัดกับโครเมี่ยมปัดเงา ช่วยเพิ่มความสปอร์ตเป็นอย่างดี เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้ คู่หน้าสามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง เหนือแผงคอนโซลกลางจะพบกับหน้าจอสี Multi-Funtional แบบ High-Grade สำหรับบอกข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลการขับขี่, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง, เครื่องเสียง เป็นต้น นอกจากนั้น ยังสามารถใช้เป็นกล้องมองหลังเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง พร้อมเส้นกะระยะให้ด้วย

 

     ถัดลงมาเป็นเครื่องเสียง FM/AM สามารถรองรับ CD/MP3 ได้ 1 แผ่น โหลดหน้าตัวเครื่อง พร้อมช่องต่อ USB และ AUX ติดตั้งบริเวณคอนโซลกลาง เครื่องเสียงชุดนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth เพื่อสนทนาแบบแฮนด์ฟรีได้ ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 6 ตัวด้วยกัน (รุ่น 2.0XT เป็นเครื่องเสียง Harman Kardon พร้อม Amplifier)

     Forester 2.0i-L ติดตั้งพวงมาลัยแบบ 3 ก้านหุ้มด้วยหนังสีดำ ตัดด้วยโครเมี่ยมปัดเงา ปุ่มควบคุมฝั่งซ้ายใช้สำหรับควบคุมเครื่องเสียง ฝั่งขวาสำหรับควบคุมระบบ Cruise Control และปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ SI Drive ของซูบารุ ถัดมาด้านล่างเล็กน้อยจะเป็นปุ่มสำหรับควบคุมหน้าจอมัลติฟังก์ชั่น พร้อมติดตั้งระบบแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift มาให้ด้วย

 

     ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ถูกติดตั้งไว้ฝั่งขวาของพวงมาลัย ทำงานคู่กับกุญแจแบบ Keyless Access สามารถล็อค-ปลดล็อคประตูได้โดยไม่ต้องควักกุญแจออกจากกระเป๋า ขณะที่ก้านไฟเลี้ยวถูกติดตั้งไว้ทางซ้ายมือ ต่างจากรถญี่ปุ่นทั่วไป ส่วนก้านที่ปัดน้ำฝนติดตั้งไว้ทางฝั่งขวาสามารถทำงานแบบอัตโนมัติ

 

     Subaru Forester 2.0i-L ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินสูบนอน  4 สูบ อันเลื่องชื่อของซูบารุ ความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 198 แรงม้าที่ 4,200 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผันต่อเนื่องที่ซูบารุเรียกว่า Lineartronic พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Symmetrical AWD อันเลื่องชื่อ

     ตัวถังมีความยาวตลอดตัวรถอยู่ที่ 4,595 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,795 มิลลิเมตร สูง 1,735 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร ซึ่งขนาดตัวถังถือว่าเกาะกลุ่มใกล้เคียงกับคู่แข่งอย่าง เชฟโรเลต แคปติวา, ฮอนด้า ซีอาร์วี, นิสสัน เอ็กซ์เทรล และมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ขณะที่ฟอเรสเตอร์มีความสูงจากพื้นอยู่ที่ 220 มิลลิเมตร  ช่วยให้ขับขี่ผ่านอุปสรรคแบบออฟโรดได้ง่ายขึ้น

 

     เมื่อพูดถึงคำว่าออฟโรดนั้น Forester คันนี้ยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อน X-MODE ที่ช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคแบบออฟโรดง่ายขึ้น ทั้งสภาพพื้นผิวที่เป็นโคลน, ลูกรัง ฯลฯ โดยหากระบบตรวจพบว่ามีล้อใดล้อหนึ่ง (หรือมากกว่านั้น) หมุนฟรี เจ้าระบบ X-MODE จะถ่ายเทกำลังไปให้ล้อที่ยังคงมี Traction เพื่อให้รถผ่านอุปสรรคนั้นๆ ไปได้นั่นเอง

     ระบบเบรกของฟอเรสเตอร์เป็นแบบดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบดับเบิ้ลวิชโบนหรือปีกนกคู่

 

     เริ่มต้นเข้ามานั่งภายในห้องโดยสารของ Forester สัมผัสได้ถึงความโปร่งโล่ง ด้วยกระจกหน้าต่างบานใหญ่รอบคัน รวมถึงเสาที่ออกแบบให้มีขนาดเล็ก ทำให้มีทัศนวิสัยรอบคันที่ดี ตัวเบาะนั่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ออกแบบรับกับสรีระ รวมถึงพนักพิงศีรษะที่สามารถปรับให้ดันศีรษะมากน้อยได้แล้วแต่ความชอบ

     สมรรถนะจากเครื่องยนต์นั้น ในช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่งอาจรู้สึกว่าตัวรถไปได้แบบเอื่อยๆ แต่เมื่อทำความเร็วได้ระดับนึงแล้วก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับแรงบิดสูงสุด 198 นิวตันเมตร ที่ต้องแบกรับน้ำหนักราวตันครึ่ง บวกกับผู้โดยสารอีก 2 คน ซึ่งแม้จะดูไม่หวือหวานัก แต่เกียร์อัตโนมัติ Lineartronic ก็ช่วยถ่ายทอดกำลังได้อย่างต่อเนื่อง นุ่มนวล

 

     ช่วงล่างของ Forester ถูกเซ็ทมาแบบนุ่มหนึบ ทำให้การใช้ความเร็วบนทางเรียบถือว่านิ่งใช้ได้เลยทีเดียว อาการโคลงมีให้เห็นน้อยมากแม้จะเข้าโค้งที่ความเร็วมากกว่า 100 กม./ชม.ก็ตาม ถือเป็นเอสยูวีที่สามารถทำช่วงล่างได้ใกล้เคียงกับรถซีดานมาก จนบางครั้งแทบจะคิดว่าตัวเองกำลังขับรถเก๋งอยู่ด้วยซ้ำไป

     เมื่อมาถึงช่วงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เรายิ่งได้เห็นความโดดเด่นของช่วงล่างในการยึดเกาะถนน เนื่องด้วยเส้นทางบนเขาใหญ่ที่ประกอบไปด้วยโค้งเล็กโค้งน้อยจำนวนมาก รวมถึงทางลาดชันขึ้น-ลงอย่างไม่ขาดสาย แต่ฟอเรสเตอร์สามารถควบคุมทิศทางได้อย่างง่ายดาย ช่วงล่างขณะเข้าโค้งให้ความรู้สึกเป็นกลาง คือไม่ดื้อหน้าและไม่พยายามจะปัดท้ายออก สามารถมุดไปในแต่ละโค้งได้อย่างสนุกสนานและยังคงไว้ซึ่งความมั่นใจ ซึ่งส่วนตัวเราคิดว่ามันเป็นเอสยูวีที่สามารถเล่นโค้งได้อย่างสนุกสนานกว่ารถซีดานขนาดกลางหลายรุ่นในบ้านเราเสียอีก

 

     แป้นเบรกของ Forester ถูกเซ็ทมาค่อนข้างตื้น ผ้าเบรกสามารถจับตัวจานเบรกได้เร็วในระดับรถญี่ปุ่นทั่วไป การชะลอความเร็วลงตามปกติถือว่าใช้ได้ ให้ความมั่นใจดี แต่หากต้องการลดความเร็วแบบเร่งด่วนอาจต้องกดแป้นเบรกลึกกว่าที่คิดไว้นิดนึง ซึ่งหากปรับตัวจนชินแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร

     การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง มีเสียงรบกวนจากช่วงล่างเข้ามาไม่มากนัก จะได้ยินชัดหน่อยเห็นจะเป็นเสียงลมปะทะเมื่อใช้ความเร็วสูง แต่อย่างไรก็ดี ฟอเรสเตอร์ถือเป็นเอสยูวีที่สามารถขับไปต่างจังหวัด พร้อมผู้โดยสารเต็มคันได้แบบสบายๆ ไม่เครียด

 

     สรุป Subaru Forester 2.0i-L อัตราเร่งอาจดูไม่หวือหวานัก หากต้องการความแรงอาจต้องขยับไปเล่นรุ่น 2.0XT ที่ติดตั้งเทอร์โบมาให้ ซึ่งได้กำลังสูงสุด 240 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร รูปลักษณ์ภายนอกอาจดูไม่สะดุดตานัก แต่ก็แลกมาด้วยทัศนวิสัยรอบคันที่ดี ขณะที่ความโดดเด่นที่สุดหนีไม่พ้นช่วงล่างที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับรถเก๋งมาก การเข้าโค้งสามารถยึดเกาะถนนได้อย่างหนึบหนับ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความสนุกสนานในการขับรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่ซูบารุเคลมเสมอว่าสามารถทำออกมาได้ดี และเราก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันดีสมชื่อจริงๆ

     ดังนั้น หากใครกำลังมองหาเอสยูวีซักคันในตอนนี้ เราอยากให้คุณได้ไปลองเจ้าซูบารุกันเสียก่อนครับ เพราะไม่อย่างนั้นคุณอาจจะพลาดรถเอสยูวีที่ขับสนุกที่สุดคันหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย

 

     ราคาจำหน่าย Subaru Forester

  • Forester 2.0i-L ราคา 1,690,000 บาท *รุ่นที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้
  • Forester 2.0XT ราคา 2,420,000 บาท

 

 

อัลบั้มภาพ 33 ภาพ

อัลบั้มภาพ 33 ภาพ ของ รีวิว Subaru Forester 2.0i-L ขอร้องอย่ามองแค่รูปลักษณ์..เพราะนี่คือเอสยูวีที่ขับมันส์ที่สุด!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook