รีวิว MV Agusta Stradale 800 โมโตทัวริ่ง ที่สวยสุดในโลก

รีวิว MV Agusta Stradale 800 โมโตทัวริ่ง ที่สวยสุดในโลก

รีวิว MV Agusta Stradale 800 โมโตทัวริ่ง ที่สวยสุดในโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

      วันนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดีกับการประเดิมคอลัมน์รีวิวแรกของ MotoRival แน่นอนว่าระดับเราต้องไม่ธรรมดา ขอเปิดรีวิวแรกด้วยแบรนด์รถในฝันของใครหลายคน (รวมทั้งแอดมินเองด้วย) MV Agusta ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Art of Bike (ประติมากรรมแห่งรถ 2 ล้อ) โดยในรุ่นที่เรานำมาทดสอบนี้ ถือเป็นรุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวกันไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมากับ รีวิว MV Agusta Stradale 800 คันนี้

      MV Agusta Stradale 800 รถสไตล์ MotoTourer ซึ่งใช้พื้นฐานรถมาจาก Rivale รถ SuperMoto ดีกรีรถมอเตอร์ไซค์สวยที่สุดในโลกปี 2012 ได้ถูกเปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วในงาน EICMA 2014 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ก่อนที่ บริษัท โมโต วิชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถ MV Agusta อย่างเป็นทางการในประเทศไทย จะนำเข้ามาเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเมื่องาน Motor Show 2015 ที่ผ่านมานี้

 

      อย่างที่ได้กล่าวไป MV Agusta Stradale 800 ได้พัฒนามาจากรุ่น Rivale โดยปรับให้เป็นรถที่เหมาะแก้การใช้งานเดินทางไกลได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการติดกระเป๋าข้างแบบอานม้ามาพร้อมไฟท้ายในตัว (เมื่อถอดกระเป๋าข้างออกไฟท้ายที่ตัวรถก็จะทำงาน), เปลี่ยนเบาะเป็นแบบ 2 ระดับ เตี้ยลงกว่าเดิม และมีผิวสัมผัสที่นุ่มนั่งสบายยิ่งขึ้น, ติดตั้งวินชิลด์หน้าปรับระดับได้, แฮนด์ถูกยกสูงขึ้น, กระจกปลายแฮนด์ได้ย้ายมาอยู่ด้านบนประกับ, ปลายท่อทรงเหลี่ยมแทนทรงกลมที่พบใน Rivale และล้อลวดลายใหม่ แบบ 6 ก้านคู่

 

      ถังน้ำมันคงความจุ 16 ลิตร ขณะที่น้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 181 กก. แบบ dry weight จากเดิมที่ 178 กก. สำหรับน้ำหนัก Kurb Weight อยู่ที่ 196 กก. สำหรับความสูงเบาะอยู่ที่ 870 มม.  จาก Rivale 881 มม.

      Stradale 800 มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาวมุก/เทา Sand Metallic (คันทดสอบคันนี้), แดง/เงิน, บรอนซ์เมทัลลิก/ขาวมุก

 

      หันมาดูบนแผงหน้าปัดกันบ้าง จะพบจอ LCD  แสดงผลความเร็วเป็นตัวเลข ขณะที่วัดรอบเครื่องเป็นสเกลในแนวนอน  มีตัวเลขบอกตำแหน่งเกียร์ด้านซ้ายบน โดยตัวเลข  0 หมายถึงเกียร์ N, นาฬิกาบอกเวลา, นาฬิกาจับเวลา  Lap Record, เปิด-ปิด Quick Shift, ตั้งค่า ABS และ Traction Control ได้มากถึง  8 ระดับ



      ทางประกับไฟด้านซ้าย มีไฟ Pass มาให้ใช้  แต่ยังคงไม่มีสวิทช์ไฟฉุกเฉินให้  พร้อมปุ่ม Set และ OK ใช้ในการเลือกเมนู ทางประกับไฟด้านขวามีปุ่ม Off-Run และปุ่มสตาร์ท  ซึ่งใช้ปรับเลือก Engine Map ด้วย

 

      เมื่อผู้เขียน ซึ่งมีสรีระส่วนสูง 174 ซม. ลองนั่งคร่อมพบว่าหากให้รองเท้าผ้าใบ หรือบู๊ทจะสามารถเหยียบได้เกินครึ่งฝ่าเท้า และหากมีผู้ซ้อนอยู่ท้ายจะสามารถเหยียบได้เกือบเต็มฝ่าเท้า (จากการเซ็ทโช้คอัพหลังดั้งเดิม) ในส่วนของการจัดท่านั่งบนรถ พบว่าอาจไม่ชินในช่วงแรก คือส้นเท้าด้านขวาจะติดการ์ดกันความร้อนท่อที่ยื่นนูนออกมา และต้นขาที่ปกติจะต้องหนีบติดกับตัวถังนั้นอาจจะยังไม่ให้ความกระชับนักเพราะจะติดกับโครงถักของรถแทน

 

      สำหรับตัวกระเป๋าข้างที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด ทำให้การเดินทางในตัวเมืองนั้นยังมุดหลบหลีกการจราจรได้ง่ายกว่า Ducati Hyperstrada ซึ่งผู้เขียนได้เคยขี่ไปเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน  แต่อาจต้องระวังกระจกมองข้างที่อยู่บนประกับ มันมักอยู่ในตำแหน่งเดียวกับกระจกข้างรถยนต์โดยส่วนใหญ่

 

      มาต่อกันที่ขุมพลังเครื่องยนต์ 3 สูบ อันเป็นเอกลักษณ์ของ MV Agusta โดยในรหัส F3 นี้ เป็นเครื่องเดียวกับโมเดล Rivale 800, Brutale 800, Brutale 800 Dragster และ Brutale 800 Dragster RR (ในแต่ละโมเดลมีการ

      ปรับเซ็ทกำลังเครื่องแตกต่างกัน) มีความจุจริงที่ 798cc ได้ถูกปรับจูนลดแรงม้าลงเหลือ 115 แรงม้า (hp)@11,000rpm (จากเดิม 125 {bhp}@12,000rpm ใน Rivale 800) และลดรอบเครื่องยนต์สูงสุด (Redline) ลงเหลือ 12,000rpm จากเดิม 13,000rpm แรงบิดถูกปรับลดลงเหลือ 78.5Nm@9,000rpm จากเดิม 84Nm@8,600rpm

 

      จุดเด่นที่เหนือกว่าโมเดลอื่นๆ ก็คือ การใช้ระบบ MV EAS 2.0 Quickshifter (เป็น Software ที่อัพเกรดแล้วแบบเดียวกับรุ่น Dragster RR) สามารถใช้งานระบบ Quickshift ซึ่งเปลี่ยนเกียร์ได้ทันทีโดยไม่ต้องกำคลัช ทั้ง Up และ Down ซึ่งโมเดล Rivale, Brutale 800 และ Brutale Dragster จะใช้ได้เพียงขึ้นเกียร์เท่านั้น

      สำหรับระบบ Engine Map มี 4 Mode ได้แก่ Sport ที่จะส่งมอบกำลังเต็ม 115 แรงม้า ขณะที่ Normal และ Rain จะตัดกำลังเหลือ 90 แรงม้า  และ Custom ซึ่งให้คุณปรับค่าได้ตามชอบใจ

 

      เพื่ออรรถรสในการควบเจ้า Stradale 800 คันนี้ ผู้เขียนใช้ Engine Map ในโหมด Sport เป็นหลัก บอกได้เลยว่าแม้จะ Detune กำลังลง แต่กลับไม่รู้สึกถึงความแรงที่น้อยกว่ารุ่น Rivale ที่ได้เคยทดสอบไปเมื่อปีที่แล้วสักเท่าไรเลย

 

      ติดเครื่องยนต์พร้อมออกตัว ยังคงคุ้นเคยกับซุ่มเสียง 3 สูบ สไตล์ MV รอบต่ำอาจจะฟังดูแปลกๆ ไม่ไพเราะนัก แต่เมื่อเร่งเครื่องยนต์ขึ้นเสียงเริ่มฟังดูเข้าทีและไพเราะมากขึ้น  ขณะออกตัว ทอร์คมีเหลือเฟือให้เรียกใช้งานตั้งแต่รอบต่ำ และเมื่อเร่งรอบสูงขึ้นต่อเนื่อง กำลังแรงม้านั้นจะมาให้สัมผัสอย่างหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ รอบเครื่องที่จะช่วยให้คุณฟินในการขับขี่จะอยู่ในช่วง 4,000-9,000rpm เพราะมากกว่านี้อาจจะเริ่มไม่สนุกนัก

      พยายามฝืนลากเข้ารอบที่รีดแรงม้าสูงสุดเกือบ 11,000rpm พบว่าร่างกายต้องทนต่องแรง G และลมปะทะที่มากขึ้นจากรูปทรงรถที่สูง และวินชิลด์ที่มีขนาดเล็ก Stradale 800 มันพร้อมดึงให้คุณหน้าหงายได้หากไม่จับแฮนด์ให้กระชับ พร้อมหนีบแขนและต้นขาให้แนบแน่นกับตัวถัง

 

      การลดเกียร์ด้วย Quickshift 2.0 มันสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นการลดเกียร์เพื่อทำ E-Brake ก่อนเข้าโค้งสามารถทำงานได้ง่ายขึ้นรวดเร็ว ง่ายเสียกว่าจังหวะงัดเกียร์ขึ้นเสียอีก

 

      ด้านการควบคุมตัวรถ พบว่า Stradale มันควบคุมได้ง่ายกว่า Rivale จากตำแหน่งแฮนด์บาร์ที่สูงดูเป็นธรรมชาติมากกว่า (แต่ท่าขี่อาจไม่เท่เท่า) และลดอาการล้าปวดแขนขณะขี่ทางไกลได้ดีกว่าด้วย ซึ่งการที่ตำแหน่งแฮนด์เปลี่ยนช่วยให้มันควบคุมวงเลี้ยวได้ง่ายมากขึ้น บาลานซ์น้ำหนักของรถก็ทำได้ดีกว่า การหักเลี้ยวก็มั่นใจขึ้นและช่วงกระจกปลายแฮนด์ที่หายไปทำให้ตัวแฮนด์ไม่ยาวไปเกี่ยวกระจกรถคันอื่นอีกด้วย

 

      ขณะที่ระบบช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบ Inverted Fork แบบ Hydraulic จาก Mazocchi ปรับได้ทั้ง Rebound, Compression และค่า Preload จากการบนหัวโช้ค และมีระยะเคลื่อนตัวมากถึง 150 มม. ในส่วนของโช้คอัพ Monoshock ด้านท้าย ของ Sachs มีการอัพเกรดในส่วนของระยะเคลื่อนตัวจากเดิม 130 มม. เพิ่มเป็น 150 มม. เพื่อรองรับการเดินทางที่พร้อมลุยขึ้นอีก 

      การใช้งานโดยภาพรวมนั้นถือว่าช่วงล่างสไตล์ Mazocchi นี้ดูเซ็ทติดภาพลักษณ์ Sport อยู่ ซึ่งก็ไม่ได้ดูแตกต่างจาก Rivale มากนัก เหมาะสมแล้วกับสมรรถนะของตัวรถ  นอกจากนี้ยางหน้า ที่กว้าง 120 มม. และหลัง 180 มม. จาก Pirelli Diablo Rosso II ก็ให้การยึดเกาะบนทางเรียบได้เป็นอย่างดี ด้วยซีรีย์ที่อาจจะยังไม่พร้อมลุยเท่า Scorpion และสำหรับลงสนามอย่างตระกูล Corsa แต่หาก เอาไว้ใช้เดินทางไกลบนพื้นผิวถนนทั่วไปแล้ว มันเป็นซีรีย์ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

 

      สำหรับเบรก จานดิสก์หน้ามีขนาด 320 มม. กับคาลิปเปอร์แบบ Radial Monobloc 4 ลูกสูบจาก Brembo และจานดิสก์หลังขนาด 220 มม. คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบจาก Brembo พร้อมติดตั้ง ABS จาก Bosch แต่ปั๊มบนอาจขัดตาไปนิดเพราะ เป็นป๊มจากแบรนด์ Nissin ทั้ง 2 ฝั่ง

      การใช้งานนั้นผู้เขียนได้เซ็ท ABS ที่ระดับ 1 ซึ่งก็ถือว่าหยุดรถได้ดีในระดับหนึ่ง และเหมาะสมกับการขับขี่ในเมือง ถ้าหากปิดระบบ ABS จะยิ่งช่วยให้การกะระยะเบรก ทำได้ดีและแม่นยำกำหยุดอยู่หมัดมากขึ้น แต่ช่วงนี้ฝนตกบ่อย จึงต้องระวังการเปิดไว้ที่ระดับ 1 นั้นก็หยุดรถได้ดีไม่แพ้กันนัก

 

      บทสรุป รีวิว MV Agusta Stradale 800 รถ Touring ในร่าง Moto ที่การ Detune กำลังเครื่องลง ไม่ได้ลดความดิบของมันลง และขี่สมูทขึ้นแต่อย่างใด ยังคงสัญชาตญาณการขี่ ได้มันส์เช่นเคย แต่ควบคุมง่ายขึ้น และมาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ มากขึ้น  ด้วยราคาระดับนี้ หลายคนอาจร้องว่ามัน สามารถสอยคู่แข่งอย่าง Hyperstrada ได้ถึง 2 คัน หรือโดดไปเล่นรถระดับ 1200 อย่าง Multistrada ใช่ แล้วไง!

      ที่จริงมันอาจเทียบกันได้ยาก ระหว่างเสียง 3 สูบอันหวานหู กับเสียง L-Twin ที่ดูดิบ นอกจากนั้น หากคุณมีสรีระร่างกายไม่ใหญ่ เจ้า Stradale คันนี้ มันมีน้ำหนักที่เบากำลังดี มันเบากว่า Versys650 เสียอีก


      ด้วยพละกำลังที่แรงเกินตัว Stradale 800 จัดว่าเป็นรถทัวริ่งที่ลงตัวมากที่สุด ความจุที่มากระดับ 1000cc+ อาจไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์เสมอไป 800cc กับการเดินทางบนทางท่องเที่ยวที่เน้นทางเรียบ สำหรับผู้เขียนเอง มันเพียงพอแล้วล่ะ

      ถ้าเงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถ Touring ที่เหมาะสมกับสรีระคุณ (ผู้ที่มีสรีระไม่ใหญ่มากนัก) MV Agusta Stradale 800 จะมาตอบโจทย์นั้นได้ดี พร้อมพกความหล่อเต็มสูบ ขี่ไปไหน การันตีเลย ต้องมีแต่คนเหลียวมองและสอบถามตัวรถแทบทุกที่ไป

      ขอขอบคุณ บริษัท โมโตวิชั่น สำหรับรถทดสอบ MV Agusta Stradale 800 สีขาวมุก/เทา คันนี้ ราคา 1.099 ล้านบาท

 

      ภณ เพียรทนงกิจ Test Rider

      ที่มา MotoRival

 

 

 

อัลบั้มภาพ 30 ภาพ

อัลบั้มภาพ 30 ภาพ ของ รีวิว MV Agusta Stradale 800 โมโตทัวริ่ง ที่สวยสุดในโลก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook