"องค์การอนามัยโลก" เสนอรถวิ่งความเร็ว 60 กม.ต่อชม. เฉพาะพื้นที่เขตเมืองเชื่อ ลดอุบัติเหตุ

"องค์การอนามัยโลก" เสนอรถวิ่งความเร็ว 60 กม.ต่อชม. เฉพาะพื้นที่เขตเมืองเชื่อ ลดอุบัติเหตุ

"องค์การอนามัยโลก" เสนอรถวิ่งความเร็ว 60 กม.ต่อชม. เฉพาะพื้นที่เขตเมืองเชื่อ ลดอุบัติเหตุ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านการป้องกันอุบัติเหตุ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก(WHO)ได้มีคำแนะนำในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศต่างๆ ด้วยการลดจำนวนผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนลง


     โดยพบว่าประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวดของกฎหมายด้านความปลอดภัยทางถนน ซึ่งมี 5 ปัจจัยที่สำคัญ คือ เรื่องการใช้ความเร็ว เมาแล้วขับ การสวมหมวกนิรภัย การคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งและการใช้เบาะนิรภัยสำหรับเด็กในรถยนต์ โดยได้มีการหารือร่วมกับศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้เกิดการนำเสนอต่อศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน(ศปถ.) เพื่อนำไปสู่การปรับแก้กฎหมายต่อไป

     นพ.วิทยากล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าวจะอิงตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยสากลและมีงานวิจัยรองรับว่าจะสามารถช่วยลดผลกระทบได้ เช่น มาตรการการลดความเร็วในพื้นที่เขตเมือง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยกเว้นช่องทางด่วน เหตุผลคือถนนในเขตเมืองเป็นถนนที่มีการใช้ร่วมกันระหว่างผู้ขับรถจักรยานยนต์ คนเดินถนน ซึ่งการใช้ความเร็วจะทำให้เกิดโอกาสเสียชีวิตได้สูงขึ้นและบาดเจ็บรุนแรงเพิ่มขึ้น

     ในหลายประเทศเริ่มมีการลดความเร็วในเขตเมืองเหลือเพียง 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว ซึ่งพบว่าระยะความเร็วนี้จะทำให้สามารถเบรกได้ทันและความสูญเสียรุนแรงลดลง

 

     นพ.วิทยากล่าวว่า สำหรับพื้นที่ กทม.ถือว่าเป็นพื้นที่เขตเมืองทั้งหมด ยกเว้นทางด่วน ทางยกระดับ ส่วนพื้นที่ในต่างจังหวัดก็จะได้แก่พื้นที่ถนนเทศบาลทั้งหมด ซึ่งมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนอยู่แล้ว โดยเฉพาะถนนทางหลวงที่ตัดผ่านพื้นที่เขตเมืองในจังหวัดต่างๆ ซึ่งพบว่าเกิดอุบัติเหตุที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

     ทั้งนี้นอกจากการปรับแก้กฎหมาย ยังจำเป็นต้องเพิ่มเครื่องมือเช่นกล้องจับความเร็วเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องทำความเข้าใจประชาชนเพื่อให้เกิดความร่วมมือ

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook