First Impression: Mercedes-Benz C350e และ S500e ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่เหนือความคาดหมาย

First Impression: Mercedes-Benz C350e และ S500e ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่เหนือความคาดหมาย

First Impression: Mercedes-Benz C350e และ S500e ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่เหนือความคาดหมาย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     เป็นที่ทราบกันดีว่าแนวโน้มของรถยนต์ในปัจจุบัน กำลังมุ่งเข้าหาความประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีไฮบริดหรือเครื่องยนต์คลีนดีเซล ในอนาคตเราอาจได้เห็นรถยนต์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนวิ่งกันเต็มถนนก็เป็นได้


     แต่สำหรับปัจจุบัน เทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถจับต้องได้และได้รับความนิยมในทวีปยุโรปมาพักหนึ่งแล้ว และถือเป็นเทคโนโลยีที่น่าจะไปได้สวยในบ้านเรา ก็คือ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Vehicle) นั่นเอง

     และเพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำตลาดรถหรูอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จึงไม่รอช้านำเอา 2 รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดหรู มาเสริมตลาดในบ้านเราให้แข็งแกร่งมากขึ้น นั่นก็คือ ‘The S500e’ และ ‘The C350e’ ใหม่ล่าสุด ที่ทีมงาน Sanook! Auto ได้มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้

 

     การทดสอบ Mercedes-Benz S500e และ C350e ใหม่ จัดขึ้นบนเส้นทางเชียงใหม่-เชียงราย เป็นระยะทางราว 250 กิโลเมตร ซึ่งก็ช่วยให้เห็นสมรรถนะของขุมพลังไฮบริดเสียบปลั๊กใหม่ล่าสุดนี้ได้พอสมควร

     ก่อนจะเริ่มทดสอบนั้น เรามารู้จักกับ S500e และ C350e ใหม่ กันก่อนดีกว่า ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นปัจจุบันบ้าง

 

     Mercedes-Benz S500e AMG Premium และ Exclusive

S500e AMG Premium

 

     S500e พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ S-Class โฉมปัจจุบัน โดยอักษร ‘e’ ที่พ่วงท้ายแสดงถึงขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่อยู่ใต้ฝากระโปรงนั่นเอง มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Exclusive และ AMG Premium ที่ต่างกันในด้านของการตกแต่งภายนอก-ภายใน และอ็อพชั่นเล็กน้อย

     รูปลักษณ์ภายนอกของ S500e ยังคงเหมือนกับ เอส-คลาส รุ่นอื่นๆ ด้วยไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light พร้อมไฟ Daytime รวมถึงติดตั้งระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist มาให้ ขณะที่ฝากระโปรงท้ายเป็นแบบไฟฟ้า สามารถควบคุมการเปิด-ปิดได้จากกุญแจรีโมท ส่วนประตูทั้ง 4 บานมีระบบช่วยปิดแบบไฟฟ้า หรือเรียกง่ายๆว่า ‘ประตูดูด’ นั่นเอง

     ในรุ่น Exclusive มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 แบบ Multi-spoke ขณะที่ AMG Premium เป็นล้อ AMG ขนาด 20 นิ้ว พร้อมชุดแต่ง AMG รอบคัน ทั้งคู่ติดตั้งยางแบบ Run-flat tyres มาให้

 

S500e AMG Premium

 

     ขณะที่ฟังก์ชั่นภายในนี่แทบจะเรียกได้ว่ายิ่งกว่าที่นั่งเฟิร์สคลาสบนเครื่องบินเสียอีก เริ่มต้นด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa ที่ตัดเย็บแบบ Diamond design (เฉพาะรุ่น AMG Premium)  สามารถปรับด้วยไฟฟ้าได้เต็มรูปแบบ พร้อมฟังก์ชั่นเบาะอุ่นและระบายอากาศทั้ง 4 ที่นั่ง

 

S500e AMG Premium

 

     ขณะที่ด้านหลังเป็นแบบ Multi-contour พร้อมฟังก์ชั่นนวด 6 รูปแบบ มีที่รองขาสำหรับผู้โดยสารหลังฝั่งซ้าย รวมถึงยังมีปุ่มเฉพาะสำหรับปรับเบาะหน้าฝั่งซ้ายเพื่อขยับและเอนไปด้านหน้าจนสุดและที่วางเท้า เพื่อความสบาย

     ห้องโดยสารถูกโอบล้อมด้วยไฟ Ambient Light ที่สามารถเลือกปรับได้ 7 สีตามความต้องการ ช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

 

S500e AMG Premium

 

     S500e มาพร้อมระบบ COMAND Online รองรับระบบนำทาง ควบคุมด้วยปุ่มและทัชแพดบริเวณคอนโซลกลาง พร้อมเครื่องเล่น DVD แบบ 6 แผ่น (รุ่น Exclusive เป็นแบบ 1 แผ่น) เครื่องเสียงทรงพลังจาก Burmester ขณะที่ห้องโดยสารด้านหลังยังติดตั้งระบบความบันเทิงพร้อมจอแสดงผล 2 ตำแหน่ง สามารถควบคุมได้ด้วยรีโมทคอนโทรล และถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวก็ยังมีม่านบังแดดข้างและหลังควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า

 

     ด้านขุมพลังนั้น อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า S500e เป็นเครื่องยนต์แบบไฮบริดเสียบปลั๊ก ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินวี 6 เทอร์โบคู่พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 2,996 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 480 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 116 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 340 นิวตัน-เมตร

     นอกจากนั้น S500e ทุกรุ่นยังมีจุดเด่นอยู่ที่ช่วงล่างแบบถุงลม AIRMATIC ซึ่งสามารถปรับระดับความสูงได้ รวมถึงปรับความแข็ง-อ่อนได้ตามชอบใจอีกด้วย

 

S500e Exclusive

 

     ระบบความปลอดภัยจัดมาแบบครบเครื่อง ทั้งระบบ PRE-SAFE System และ PRE-SAFE Impulse System รวมถึงระบบ PRE-SAFE Rear System สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ถุงลมนิรภัยรอบคันรวม 10 ตำแหน่ง ระบบควบคุมการทรงตัว ESP พร้อมฟังก์ชั่นช่วยทรงตัวขณะเร่งแซงทางโค้ง ระบบรักษาสมดุลเมื่อมีลมปะทะด้านข้าง (Crosswind Assist) ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้า (Attention Assist) ฟังก์ชั่นที่ฉีดน้ำกระจกหน้าบริเวณใบปัดน้ำฝน (Magic Vision Control) เป็นต้น

     ในรุ่น AMG Premium จะมีฟังก์ชั่นกล้องมองภาพรอบคันมาให้ ขณะที่รุ่น Exclusive จะเป็นกล้องมองภาพด้านหลังขณะถอยจอด ทั้งคู่มาพร้อมเซ็นเซอร์รอบคัน PARKTRONIC มาให้

 

     Mercedes-Benz C350e AMG Dynamic


     ลองมาดูรุ่นเล็กอย่าง C350e กันบ้าง ซึ่งความหรูหราแทบไม่แพ้รุ่นพี่เลยแม้แต่น้อย โดยทำตลาดทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่ Avantgarde, Exclusive, AMG Dynamic และ Estate AMG Dynamic แต่คันที่เราได้ทดสอบในครั้งนี้เป็นรุ่น AMG Dynamic ซึ่งถือว่าท็อปสุดในตัวถังแบบซีดาน

     C350e AMG Dynamic มาพร้อม LED Intelligent Light System พร้อมระบบปรับองศาตามการเลี้ยว ALS และไฟส่องสว่างขณะเลี้ยว (Cornering Light) มีไฟ Daytime Running Light แบบ LED Fibre-optic รวมถึงหลังคาพาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่ (Electronic Panoramic Sliding Glass Sunroof) มาให้

 

     ในรุ่น AMG Dynamic ยังมาพร้อมกระจังหน้าสีเงินซี่ใหญ่ ปะโลโก้เมอเซเดส-เบนซ์ไว้ตรงกลาง, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อนพร้อมสัญลักษณ์ ‘Mercedes-Benz’ บนคาลิปเปอร์, ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมี่ยม 2 ท่อ, ล้ออัลลอย AMG แบบ Multispoke ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยางแบบรันแฟลต

     ห้องโดยสารภายในติดตั้งเบาะหุ้มหนังแบบสปอร์ตปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมเมมโมรี่, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตทรงสามก้านตัดท้าย, ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ 2 โซน THERMATIC, เครื่องเสียงวิทยุ-ซีดี MB Audio 20 รอบรับการเชื่อมต่อบลูทูธ พร้อมระบบเสียงรอบทิศทางจาก Burmester, ระบบ COMAND ควบคุมด้วยทัชแพด พร้อมแผนที่นำทางประเทศไทยมาให้ รวมถึงไฟภายในห้องโดยสาร Ambient Light เลือกเปลี่ยนได้ตามใจชอบ 3 สี เป็นต้น

     ฝากระโปรงท้ายยังเป็นแบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ สามารถสั่งงานด้วยรีโมทได้อีกต่างหาก

 

     ขุมพลังของระบบปลั๊กอินไฮบริดใน C350e ใหม่ ทำงานผสานกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 1,991 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200-2,400 รอบต่อนาที มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 340 นิวตัน-เมตร ช่วยให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 5.9 วินาที  ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-Tronic Plus

     ขณะที่ช่วงล่างของ C350e ปลั๊กอินไฮบริดทุกรุ่นย่อย ต่างเป็นแบบถุงลม AIRMATIC เช่นกัน

 

     ส่วนระบบความปลอดภัยมีทั้งระบบปกป้องก่อนเกิดอุบัติเหตุ PRE-SAFE, ถุงลมและม่านนิรภัยรอบคัน 10 ตำแหน่ง, ระบบควบคุมการทรงตัว ESP, ระบบป้องกันล้อล็อค ABS, ระบบ Adaptive Brake พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-start Assist, ระบบควบคุมความเร็วพร้อมฟังก์ชั่นจำกัดความเร็ว, ระบบเตือนเมื่อเหนื่อยล้า Attention Assist, ระบบช่วยเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist) รวมถึงกล้องมองภาพรอบคัน (ในรุ่น AMG Dynamic)

     แม้ว่าทั้งสองรุ่นจะแตกต่างกันด้วยเครื่องยนต์คนละบล็อก แต่การทำงานระบบไฮบริดของทั้งคู่มีความใกล้เคียงกัน โดยทั้งคู่สามารถปรับโหมดการทำงานของระบบไฮบริดได้ 4 รูปแบบ ได้แก่

  • HYBRID เป็นการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าตามสภาพการขับขี่ (แต่หากปรับเกียร์เป็นโหมดสปอร์ต ‘S’ จะใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว)
  • E-MODE  เป็นการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 140 กม./ชม.คิดเป็นระยะทางสูงสุด 33 กิโลเมตรในรุ่น S500e และ 31 กิโลเมตรในรุ่น C350e เมื่อใช้โหมดนี้ แป้นคันเร่งจะมีแรงต้านเล็กน้อยอยู่แถวๆ 3 ใน 4 ของระยะทั้งหมดเพื่อจำกัดการใช้งานของโหมดไฟฟ้า หากเหยียบด้วยน้ำหนักเกินกว่านั้น เครื่องยนต์จะเข้ามาเสริมการทำงานทันที
  • E-SAVE เป็นโหมดรักษาระดับไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้คงที่ ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่รู้ล่วงหน้าว่ากำลังเข้าไปยังพื้นที่รถติด ยกตัวอย่างเช่น หากเลือกโหมด E-SAVE ในขณะที่ประจุแบตเตอรี่เหลืออยู่ 70 เปอร์เซ็นต์ ระบบจะดึงเครื่องยนต์เข้ามาใช้เพิ่มขึ้น เพื่อรักษาระดับแบตเตอรี่ไม่ให้ลงไปต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อต้องผ่านพื้นที่รถติด ก็สามารถเลือกใช้โหมดไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ช่วยให้ไม่ต้องใช้น้ำมัน เป็นต้น
  • CHARGE เป็นโหมดชาร์ตพลังงานไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ โดยตัวรถจะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว ไม่มีกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วย แต่จะเป็นการสะสมพลังงานที่ได้จากการชะลอและเบรกแทน โดยการชาร์จประจุจนเต็มนั้น ทางเมอเซเดส-เบนซ์ระบุว่าอยู่ที่ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ตามแต่สภาพการจราจร

 

     หลังจากเกริ่นมาเสียเยิ่นยาว เรามาลองขับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดหรูทั้ง 2 รุ่นนี้เลยดีกว่าครับ ซึ่งผู้เขียนจะขอเน้นเกี่ยวกับการทำงานของระบบปลั๊กอินไฮบริดเยอะหน่อย เพราะถือเป็นไฮไลท์ของทริปนี้นั่นเอง

     เริ่มต้นออกเดินทางด้วย C350e AMG Dynamic กันก่อน ซึ่งจุดเริ่มต้นอยู่บริเวณโรงแรมอนันตรา เชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่สามเหลี่ยมทองคำ จังหวัดเชียงราย ซึ่งแน่นอนว่าต้องลัดเลาะผ่านตัวเมืองเชียงใหม่ออกมาให้ได้เสียก่อน โดย C350e ทุกคันในทริปถูกชาร์จไฟจนเต็มประจุเป็นที่เรียบร้อย เพื่อให้เราสามารถใช้งานระบบไฮบริดได้อย่างเต็มที่

 

     ในช่วงเดินทางผ่านเมืองนั้น ระบบมีการเรียกใช้ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าตามจังหวะคันเร่ง แต่ด้วยแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ ทำให้สามารถใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าได้เป็นระยะทางมากกว่ารถไฮบริดทั่วๆไป ซึ่งแน่นอนว่าขณะที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้านั้น ห้องโดยสารเรียกได้ว่าเงียบสนิท เพราะเป็นการขับขี่ในเมืองที่ใช้ความเร็วไม่สูงมาก รวมถึงให้อัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำกว่ารถไฮบริดทั่วไปด้วย

     ขณะที่ C350e ยังคงไว้ซึ่งจุดเด่นในเรื่องของความคล่องตัว สามารถลัดเลาะไปตามซอกซอยได้อย่างสนุกสนาน อัตราทดพวงมาลัยที่ความเร็วต่ำค่อนข้างกระชับ หมุนเพียงเล็กน้อยก็พอให้ลัดเลี้ยวไปตามการจราจรได้สบายๆแล้ว

 

     เมื่อเดินทางออกมายังนอกเมือง การจราจรก็เอื้ออำนวยให้เราใช้ความเร็วได้มากขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเจนเลยว่า กำลังเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรกับมอเตอร์ไฟฟ้านี้ สามารถพาตัวรถพุ่งทะยานไปถึงความเร็ว 120 กม./ชม. ได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าจัดจ้าน ขับมันส์เลยทีเดียว กดคันเร่งเมื่อไหร่กำลังก็ไหลมาเทมาเมื่อนั้น

     เมื่อลองเปลี่ยนไปใช้โหมด E-MODE ดูก็พบว่า เครื่องยนต์สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้แม้ใช้ความเร็วสูง แต่กระนั้นก็อย่าเพิ่งคาดหวังว่าจะสามารถเหยียบคันเร่งจมมิดเพื่อรีดกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าให้พุ่งปรู๊ดปร๊าดแบบรถ EV แท้ๆ เนื่องจากการเร่งความเร็วในโหมดนี้ จะเป็นการเพิ่มความเร็วแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องด้วยเหตุผลด้านความประหยัดนั่นเอง

 

     โดยทันทีที่เลือกใช้โหมด E-MODE แป้นคันเร่งจะสร้างแรงต้านอยู่แถวๆ 3 ใน 4 ของระยะแป้นทั้งหมด ซึ่งหากผู้ขับเหยียบคันเร่งลึกกว่าแรงต้านนั้น เครื่องยนต์จะเริ่มเข้ามาทำงานทันที เพื่อเรียกกำลังในจังหวะเร่งแซง หรือในสถานการณ์คับขัน เป็นต้น

 

     เมื่อมาถึงช่วงพักครึ่งทาง เราได้ทดลองสลับมาขับ S500e Exclusive ดูบ้าง ซึ่งก็สัมผัสได้ถึงอรรถรสการขับขี่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

     ที่ว่าแตกต่างกันชัดเจนนั้น ไม่ใช่เพราะคันไหนดีกว่ากันหรอกนะครับ แต่ C350e จะให้ความรู้สึกออกไปในแนวสปอร์ต ปราดเปรียว คล่องตัว ช่วงล่างเฟิร์ม ขณะที่ S500e กลับให้ความรู้สึกนุ่มสบาย ผ่อนคลายกว่ากันอย่างชัดเจน สมกับที่เป็นรถผู้บริหารสุดหรูตระกูล ‘S-Class’ อย่างแท้จริง

     ภายในห้องโดยสารของ S500e Exclusive ค่อนข้างโปร่งโล่ง สบาย ช่วงล่างถุงลม AIRMATIC ถูกเซ็ทมาอย่างนุ่มนวล แม้ว่าจะปรับเป็นโหมดช่วงล่างเป็นแบบ Sport ก็ยังถือว่านุ่มอยู่ดี ซึ่งช่วงล่างของ S500e Exclusive คันนี้ สามารถขับผ่านพื้นผิวขรุขระได้โดยแทบไม่ทำให้ห้องโดยสารภายในสะเทือนเลย แถมยังเก็บเสียงได้อย่างเงียบกริบ จนแทบไม่ต้องพึ่งระบบช่วงล่างไฮเทคอย่าง ‘Magic Body Control’ ที่เป็นอ็อพชั่นของต่างประเทศเลย

 

     ขณะที่ขุมพลัง V6 ขนาด 3.0 ลิตรกับมอเตอร์ไฟฟ้าใน S500e คันนี้ แม้ต้องแบกรับน้ำหนักตัวถังขนาดมหึมา แต่ก็ยังสามารถเรียกกำลังได้อย่างทันใจ ขับสนุกได้ไม่แพ้ C350e เลยทีเดียว เพราะตัวเลขอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.เคลมไว้ที่ 5.2 วินาทีเท่านั้น (C350e เคลมไว้ที่ 5.9 วินาที)

     ช่วงล่างของ S500e ให้ความมั่นใจที่ความเร็วสูง นิ่ง และมั่นคง บวกกับสมรรถนะของเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดบล็อกนี้ บางจังหวะเราแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวรถพุ่งทะยานไปแตะความเร็ว 160 กม./ชม.เป็นที่เรียบร้อย จนต้องรีบปล่อยคันเร่งลงมาใช้ความเร็วตามกฎหมายในทันที

 

     จุดเด่นของ S500e อีกอย่างหนึ่งที่ผู้ร่วมทดสอบทุกท่านไม่พลาด ก็คือการเป็นผู้โดยสารตอนหลังของรถคันนี้ ที่สบายระดับเฟิร์สคลาสบนเครื่องบินเลยทีเดียว (จะขาดก็แอร์โฮสเตรทสวยๆคอยเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มแค่นั้นแหละ) ตัวเบาะนั่งด้านหน้าข้างคนขับสามารถปรับเลื่อนและเอนไปด้านหน้าจนสุด ผ่านปุ่มกดบริเวณแผงประตูผู้โดยสารหลังด้านซ้าย รวมถึงยังมีที่วางเท้ายื่นออกมาจากเบาะคู่หน้า และที่รองขาบริเวณเบาะนั่งด้านหลัง ช่วยให้ปรับเอนนอนได้อย่างสบายๆ (แต่ไม่ถึงกับเอนราบ)

     เมื่อประกอบกับช่วงล่างอันแสนสบายของ S500e แล้วด้วยนั้น เราแทบไม่อยากให้ถึงจุดหมายเลยทีเดียว อันนี้พูดจริงๆ

 

     สรุป Mercedes-Benz C350e AMG Dynamic และ S500e Exclusive ใหม่ ถือเป็นรถที่มีระบบขับเคลื่อนทันสมัยที่สุดรุ่นหนึ่งในบ้านเราขณะนี้ ระบบไฮบริดไม่ได้เน้นการประหยัดน้ำมันเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความแรงสะใจ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ไกลว่ารถไฮบริดปกติ ถือว่าตอบโจทย์ทั้งคนที่ต้องการความแรงและความประหยัด

     C350e AMG Dynamic: ยังคงความเป็นซี-คลาสเอาไว้อย่างครบถ้วน ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดยังช่วยให้มันดีขึ้นด้วย ขับสนุก คล่องตัว ช่วงล่างมั่นใจ

     S500e Exclusive: ให้ความสบายในแบบเอส-คลาส แต่แรงขึ้นด้วยขุมพลังเบนซินเทอร์โบคู่ V6 ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้กลายเป็นรถที่นั่งสบายและขับสนุกได้ในเวลาเดียวกัน

 

ราคาจำหน่าย Mercedes-Benz C350e และ S500e ใหม่ มีดังนี้

Mercedes-Benz C-Class Plug-in Hybrid

  • C350e Exclusive ราคา 2,990,000 บาท
  • C350e AMG Dynamic ราคา 3,340,000 บาท
  • C350e Estate AMG Dynamic ราคา 3,690,000 บาท

Mercedes-Benz S-Class Plug-in Hybrid

  • S500e Exclusive ราคา 6,390,000 บาท
  • S500e AMG Premium ราคา 6,990,000 บาท

 

     ขอขอบคุณผู้บริหารและฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท เมอเซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญทีมงานเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้

 

 

อัลบั้มภาพ 60 ภาพ

อัลบั้มภาพ 60 ภาพ ของ First Impression: Mercedes-Benz C350e และ S500e ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่เหนือความคาดหมาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook