รีวิว Ford Focus 1.5 EcoBoost ใหม่ ซิ่งไกลถึงออสเตรเลีย

รีวิว Ford Focus 1.5 EcoBoost ใหม่ ซิ่งไกลถึงออสเตรเลีย

รีวิว Ford Focus 1.5 EcoBoost ใหม่ ซิ่งไกลถึงออสเตรเลีย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     ก่อนหน้านี้ เราเคยได้รับเกียรติเข้าร่วมทดสอบ Ford Focus 1.5 EcoBoost ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ และปล่อยรีวิวให้คุณผู้อ่านได้ชมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้ายังไม่หนำใจพอ คราวนี้เราได้มีโอกาสไปขับกันไกลถึงประเทศออสเตรเลีย ซึ่งขอบอกเลยว่านี่แหละคือที่ที่ โฟกัส อีโค่บูสต์ ใหม่ จะได้แสดงศักยภาพของเครื่องยนต์เทอร์โบบล็อกใหม่ให้ได้เห็นกันอย่างชัดเจน

     การทดสอบครั้งนี้ จะว่าเป็นการรีวิวเชิงลึกเหมือนแต่ก่อนก็คงไม่ถูกนัก เพราะเป็นการขับขี่ไปยังสถานที่สำคัญต่างๆของออสเตรเลียกันแบบสบายๆ ซึ่งเข้าใจว่าฟอร์ดเองต้องการให้เราได้สัมผัสสมรรถนะแบบการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปนั่นเอง

 

     ดังนั้น บทความรีวิว Ford Focus 1.5 EcoBoost ที่ประเทศออสเตรเลียครั้งนี้ Sanook! Auto จึงขอพาคุณผู้อ่านร่วมทริปไปกับเราแบบสบายๆ ไม่รีบร้อน เหนื่อยไหนก็พักนั่น ซึ่งมันทำให้เราได้รู้จักตัวตนของรถคันนี้ได้ดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ และมันควรจะกลายเป็นวิธีทดสอบรถในบ้านเราด้วยเหมือนกัน

     ผมขอเล่าให้คุณผู้อ่านฟังอย่างหนึ่งว่า ปกติการทดสอบรถยนต์ในบ้านเรานั้น ค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่จะใช้วิธีกำหนดเส้นทางไว้ให้ จากนั้นจึงขับรถกันไปเป็นรูปแบบคอนวอย คือขับตามๆกันไป จะช้าเร็วก็ขึ้นอยู่กับรถคันหน้า ทำให้ต้องเสียสมาธิไปกับการขับรถพอสมควร แทนที่จะได้โฟกัสไปยังสมรรถนะของรถที่กำลังขับอยู่

     แต่สำหรับทริปนี้ ทางฟอร์ดเองจะตั้งจุดหมายปลายทางบนเนวิเกเตอร์ไว้ให้ จากนั้นตัวใครก็ตัวมันล่ะครับ จะขับช้าเร็วอย่างไรก็ไม่ว่า ขอแค่ไม่ขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด และไปให้ถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพก็พอ นี่สิที่จะทำให้เราได้สัมผัสรถกันอย่างลึกซึ้ง เสมือนว่าเราได้ใช้งานในชีวิตประจำวันเอง

 

     ขบวนรถโฟกัส ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ที่ฟอร์ดเตรียมไว้ให้ที่นั่น ประกอบด้วยรุ่นย่อยจำนวน 3 รุ่น ได้แก่ Trend, Sport และ Titanium ขณะที่บ้านเราจะมีเฉพาะรุ่น Sport เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่แน่ชัดว่าฟอร์ดประเทศไทยเอง จะเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคได้สัมผัสเทคโนโลยีอีโค่บูสต์ในราคาไม่เกินล้านบาทบ้างหรือไม่ ก็คงจะต้องติดตามกันต่อไป

     ในวันแรกที่เราบินไปถึงเมืองซิดนี่ย์ ทางฟอร์ดก็จัดให้เราพักผ่อนใกล้หาดบอนไดก่อนหนึ่งวัน ซึ่งเป็นชายหาดที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของออสเตรเลีย ด้วยสภาพอากาศกำลังดีอยู่ที่ราว 18-20 องศาเซลเซียส ทำให้มีผู้คนมานอนอาบแดดกันอย่างคับคั่ง บางคนก็มาเล่นกีฬาทางน้ำอย่างเซิร์ฟบอร์ด ซึ่งก็ทำให้เราได้มีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ ก่อนเริ่มขับรถในวันถัดไป หลังจากถูกไฟลท์บินดูดพลังไปยาวนานกว่า 9 ชั่วโมง

     วันต่อมา ทางฟอร์ดชวนเราไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาดบอนไดตั้งแต่ 6 โมงเช้า ซึ่งแน่นอนว่าเรา.... ขอบาย เพราะ 6 โมงเช้าที่นั่น ก็เท่ากับตี 3 ของบ้านเราเท่านั้น แถมยังต้องเตรียมตัวแพ็คกระเป๋าให้เสร็จสรรพเรียบร้อย เพื่อเดินทางไปพักอีกเมืองซึ่งตั้งอยู่ห่างราว 140 กิโลเมตร ดังนั้น เราจึงขอใช้เวลาให้คุ้มค่าทุกนาที ด้วยการพักผ่อนนั่นแหละครับ

 

     หลังจากเก็บของเรียบร้อยราว 7 โมงเช้า ทางฟอร์ดพาเราไปรับประทานอาหารเช้ากันที่ร้าน Sydney Icebergs ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของชายหาดบอนไดแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ที่นี่จะมีลักษณะเป็นสโมสรสำหรับนักว่ายน้ำ มีจุดเด่นอยู่ที่สระน้ำซึ่งตั้งอยู่ข้างกับมหาสมุทรแปซิฟิค เรียกว่าบรรยากาศยามเช้าที่นี่ช่างสวยงามสมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของซิดนี่ย์จริงๆ

     หลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ผู้บริหารของฟอร์ดออสเตรเลีย นายทอม เฮอร์รอน ก็ได้แนะนำเส้นทางที่เราจะขับเจ้า Ford Focus 1.5 EcoBoost คันนี้ ซึ่งเป็นถนนที่ทอดตัวยาวเลียบไปตามชายฝั่งของออสเตรเลีย โดยมีจุดหมายอยู่ที่เมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า Sutton Forest ซึ่งเป็นโรงแรมดีไซน์วินเทจสไตล์ยุโรปที่เรากำลังจะเข้าพักในคืนวันนี้นี่เอง

 

     หลังจากที่บรรยายเส้นทางกันเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนก็ได้รับมอบกุญแจรถเพื่อออกเดินทางกันเสียที โดยคันที่เราได้ขับในวันแรกนี้เป็น Focus 1.5 EcoBoost Sport รุ่นเดียวกับที่วางจำหน่ายในบ้านเรานั่นเอง แถมยังเป็นสีไฮไลท์อย่างสีน้ำเงิน Winning Blue อีกต่างหาก

     แต่เวอร์ชั่นออสเตรเลียกับเวอร์ชั่นไทยมีจุดต่างกันอยู่พอสมควร เพราะคันที่เราทดสอบติดตั้งไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-Xenon มาให้ มาพร้อมหลังคาซันรูฟเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า และระบบ Adaptive Cruise Control ปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติตามคันหน้าได้

 

     ยังไม่พอ! เวอร์ชั่นออสเตรเลียยังมีระบบ Lane Keeping Aid ช่วยประคองพวงมาลัยให้อยู่ในเลน ระบบ Lane Departure Warning เตือนเมื่อออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ ระบบไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ Auto High Beam Control ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Information System ฯลฯ ซึ่งอ็อพชั่นเหล่านี้มีให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นเลยทีเดียว

     นอกจากอ็อพชั่นที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว อย่างอื่นก็จัดมาให้กับเวอร์ชั่นไทยแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบ SYNC 3 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด รองรับระบบ Apple CarPlay ได้ ระบบช่วยจอดที่ความเร็วต่ำ Active City Stop ที่เพิ่มความสามารถให้รองรับความเร็วสูงสุดได้ถึง 50 กม./ชม. (รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์รองรับที่ 30 กม./ชม.) แถมบ้านเรายังมีระบบช่วยจอดอัตโนมัติทั้งแบบเข้าซองและจอดขนานมาให้ด้วย (Perpendicular Park Assist และ Parallel Park Assist) ซึ่งรุ่น Sport ของออสเตรเลียไม่มีมาให้

 

     ด้านขุมพลังติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร GTDi EcoBoost Turbo บล็อกเดียวกับที่วางจำหน่ายในไทย ให้กำลังสูงสุดเท่ากันอยู่ที่ 180 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-5,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ซึ่งเราก็คาดหวังว่าสมรรถนะของทั้งเวอร์ชั่นไทย จะไม่ต่างอะไรกับเวอร์ชั่นออสเตรเลียนัก

     แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Ford Focus 1.5 EcoBoost ที่วางจำหน่ายในบ้านเรา ถูกปรับปรุงให้สามารถรองรับพลังงานทางเลือกได้ถึง E85 ขณะที่ออสเตรเลียไม่มีน้ำมันชนิดนี้วางจำหน่าย ดังนั้นจึงถูกระบุว่ารองรับน้ำมันเบนซินออกเทนตั้งแต่ 91 – 98 แทน ซึ่งมีขายทั่วไปที่นั่น

 

     เราเริ่มออกเดินทางจากหาดบอนได ซึ่งอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าทริปนี้ไม่ได้ขับขี่แบบคอนวอย แต่เป็นการตั้งจุดหมายปลายทางแล้วให้ต่างคนต่างขับกันไปเอง แต่สุดท้ายด้วยความที่กลุ่มสื่อจากฝั่งอาเซียน ซึ่งประกอบด้วยพี่สื่อมวลชนจากเว็บไซต์ผู้จัดการ และบรรณาธิการจากนิตยสารแม็กซิม ซึ่งประจำการนั่งอยู่ในรถอีกคัน รวมถึงสื่อจากประเทศเวียดนามอีกหนึ่งคัน รวมเป็นทั้งหมด 3 คัน จะแยกกันขับก็กลัวหลงทาง เราจึงยอมขับตามกันไปเสียแต่โดยดี

     สภาพอากาศในขณะนั้นมีอุณหภูมิอยู่ที่ราว 15 องศาเซลเซียส เรียกว่าดีมาก ไม่หนาวหรืออุ่นจนเกินไป การจราจรของตัวเมืองซิดนี่ย์ช่วงเช้าถือว่าเบาบางมากถ้าเทียบกับบ้านเรา ไม่มีแยกไหนที่ติดไฟแดงเกิน 1 ครั้ง ได้ไฟเขียวยังไงก็พ้นสี่แยกอยู่เสมอ ซึ่งโฟกัสที่เราขับมีฟังก์ชั่น Auto Start-Stop มาให้ ช่วยดับเครื่องยนต์อัตโนมัติทุกครั้งที่ติดไฟแดง ซึ่งด้วยสภาพอากาศที่เย็นกำลังดี ทำให้เราแทบไม่ต้องพึ่งระบบแอร์เลยด้วยซ้ำไป ช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกโข

 

     สมรรถนะเครื่องยนต์เทอร์โบอีโค่บูสต์ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตรที่เราทดสอบนั้น แทบไม่แตกต่างจากที่เราเคยทดสอบในเมืองไทยเลย ด้วยแรงบิดกว่า 240 นิวตัน-เมตร ที่มีให้เล่นตั้งแต่รอบต่ำเพียง 1,650 รอบต่อนาที ยาวไปจนถึง 5,000 รอบต่อนาที ทำให้ตัวรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างทันใจ

     แต่อย่างไรก็ดี ถนนในประเทศออสเตรเลียมีการจำกัดความเร็วอย่างเคร่งครัด หากโซนไหนมีป้ายจำกัดความเร็ว รถทุกคัน... ย้ำว่าทุกคัน ก็จะใช้ความเร็วไม่เกินนั้นจริงๆ โดยเฉพาะเขตโรงเรียนที่จำกัดไว้ 40 กม./ชม. รถทุกคันก็จะขับไม่เกิน 40 กม./ชม.ตามที่ระบุไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องกล้องจับความเร็ว ค่าปรับแพง หรือระเบียบวินัยของชาวออสเตรเลีย มันทำให้กลายเป็นเมืองที่ขับรถได้ง่าย ปลอดภัย ลดปัญหาอุบัติเหตุได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งถ้าบ้านเราขับขี่ด้วยความเร็วขนาดนั้นบ้าง มีหวังโดนพี่แท็กซี่บีบแตรไล่อย่างแน่นอน

 

     จากนั้น เราได้มีโอกาสจอดแวะพักที่หาด Coledale ซึ่งมีวิวทะเลที่สวยงาม โดยทางฟอร์ดเองยังได้จัดกิจกรรมสนุกๆ (ตามประสาชาวออสซี่) เช่น โยนจานร่อน เล่นคริกเก็ต ฯลฯ ดังนั้น สื่อไทย 3 คน จึงขอปลีกตัวไปทำกิจกรรมที่ถนัด ซึ่งก็คือ.. การถ่ายรูป!

 

     หลังจากโพสท่ากันอย่างสนุกสนาน เราก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ ซึ่งคราวนี้จะเป็นถนนนอกเมืองแบบสองเลนสวน มีโค้งให้เล่นกันพอประมาณ ช่วงล่างของ Focus รุ่น Sport ที่เซ็ทมาแบบแน่นหนึบ สามารถเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ ทำให้การขับขี่สนุกสนานเพิ่มขึ้นไปด้วย ซึ่ง Focus ที่ใช้เครื่องยนต์อีโค่บูสต์ทุกรุ่น จะมีระบบ Torque Vectoring Control มาให้ ระบบที่ว่านี้จะช่วยลดความเร็วล้อด้านในโค้งลง เพื่อให้หน้ารถเข้าโค้งได้ฉับไวขึ้น ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่เห็นได้แต่ในรถสปอร์ตราคาแพง และเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่รถตลาดอย่าง ฟอร์ด โฟกัส ก็ใส่ระบบนี้มาให้เช่นกัน

 

     ไม่นานเราก็เดินทางมาถึงที่พักยังโรงแรมที่มีชื่อว่า Peppers Manor House ในเมือง  Sutton Forest แต่ก่อนที่จะได้เข้าไปพักผ่อนนั้น ทางฟอร์ดจัดทดสอบระบบช่วยจอดอัตโนมัติให้เราได้ทดลองกันด้วย ซึ่งแม้ว่าเราจะเคยทดสอบกันไปแล้ว แต่ครั้งนี้ทีมงานจะให้เรานั่งบนรถที่แปะสติ๊กเกอร์ทึบไว้รอบคัน จนไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ภายนอกรถได้เลย เรียกว่าต้องวางใจระบบช่วยจอดของโฟกัสกันแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม

     ไม่พอ ยังมีกิมมิคอีกเล็กน้อยด้วยการเปลี่ยนจากกรวยยางที่ใช้ทดสอบทั่วไป เป็นโต๊ะที่วางด้วยบรรดาขวดแชมเปญแช่เย็นที่พร้อมเสิร์ฟให้หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบ เรียกว่าหากระบบทำงานพลาด ก็จะอดจิบแชมเปญกันถ้วนหน้า (แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครพลาด)

 

     ระบบช่วยจอดอัจฉริยะดังกล่าว สามารถทำงานได้ทั้งการจอดแบบเทียบฟุตบาท และจอดเข้าซอง รวมถึงยังสามารถนำตัวรถออกจากที่จอดแบบเทียบฟุตบาทได้ด้วย

     หลังจากพักผ่อนข้ามคืนเสร็จสิ้น (ไม่ได้ตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอีกตามเคย) การทดสอบในวันนี้มีไฮไลท์อยู่ที่การขับแข่งประหยัดน้ำมัน  โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้นี่เอง ทางทีมงานจะอาศัยตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอออนบอร์ดเป็นหลัก ซึ่งมีหน่วยเป็น ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร ใครได้ตัวเลขน้อยที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ชนะไป

 

     รถคันที่เราได้รับทดสอบในวันที่ 2 นี้ เป็นรุ่น Titanium ซึ่งถือว่าสูงกว่ารุ่น Sport ในตลาดออสเตรเลีย โดยยังคงใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร EcoBoost เหมือนกัน แต่ต่างกันในเรื่องอ็อพชั่นเล็กๆน้อยๆ

     การทดสอบแบบอีโค่รันที่บ้านเค้าถือว่าง่ายดายกว่าบ้านเรามาก เพราะถนนถูกจำกัดความเร็วเอาไว้ที่ 80 กม./ชม.เท่านั้น เราจึงสามารถใช้ความเร็วโดยไม่รบกวนรถคันอื่นมากนัก โดยภายหลังจากการทดสอบในช่วงครึ่งวันเช้า เราได้ตัวเลขอยู่ที่ 5.0 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร หรือเทียบเป็น 20 กม./ลิตร พอดิบพอดี ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว เพราะเส้นทางส่วนใหญ่มีทั้งขึ้นเนินลงเนินสลับกันไป จังหวะที่ต้องเร่งก็เร่งใกล้เคียงกับการขับขี่ปกติ แต่ยังไงก็สู้ตัวเลขการขับขี่บนทางราบไม่ได้

 

     หลังจากแวะพักรับประทานอาหารเที่ยงเป็นที่เรียบร้อย คราวนี้เราก็ได้เวลามุ่งหน้ากลับสู่หาดบอนไดอีกครั้ง เพื่อไปยังโรงแรมที่เราเข้าพักในคืนแรก ทางทีมงานก็ให้เราตั้งจุดหมายปลายทางเองโดยใช้ระบบสั่งง่านด้วยเสียง SYNC 3 เพื่อเลือกเส้นทางที่เตรียมไว้แล้วก่อนหน้านี้

     การเดินทางกลับในครั้งนี้ เน้นการใช้ถนนไฮเวย์เป็นหลัก ทำให้เราได้มีโอกาสขยับความเร็วเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเป็น 100 กม./ชม. (ไฮเวย์ที่นั่นเขาจำกัดความเร็วไว้เท่านี้จริงๆ) ซึ่งเราเห็นได้ชัดเจนเลยว่ารถทุกคันบนท้องถนนแทบไม่มีใครขับเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนดเลย ที่เราทราบก็เพราะเราทดลองใช้ระบบ Adaptive Cruise Control โดยตั้งความเร็วสูงสุดไว้ที่ 100 กม./ชม.

 

     ในช่วงที่การจราจรเคลื่อนไปไม่เร็วนัก รถก็จะใช้ความเร็วตามคันหน้าไปเรื่อยๆ พอทางโล่งปุ๊ปความเร็วก็จะกลับไปที่ 100 กม./ชม.ตามที่กำหนดไว้ ซึ่งบางช่วงที่ใช้ความเร็วระดับนี้ ก็พอมีรถท้องถิ่นแซงเราอยู่บ้าง แต่ก็แซงไปอย่างช้าๆ ซึ่งเราเดาเอาว่าน่าจะใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กม./ชม. แม้จะแหกกฎไปเล็กน้อย แต่โดยรวมก็ยังถือว่าคนบ้านเรายังสามารถรักษาระเบียบวินัยได้เป็นอย่างดี

     ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการบังคับใช้กฎหมายของที่นู่นแข็งแรงมาก หากใช้ความเร็วเกินที่กำหนดมากกว่า 30 กม./ชม. จะถูกยึดใบขับขี่เป็นเวลา 3 เดือน และหากถูกตำรวจไล่ตามเนื่องจากใช้ความเร็วเกินกำหนดมากกว่า 45 กม./ชม. จะถูกเจ้าหน้าที่ยึดใบขับขี่ทันทีเป็นเวลา 6 เดือน และอาจถูกศาลสั่งปรับเป็นเงินสูงสุดถึง 2,530 เหรียญออสเตรเลีย หรือราว 67,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งจำนวนที่ว่านี้ จ่ายจริง ปรับจริง ไม่อิงข้ออ้างใดๆทั้งสิ้น!

 

     อีกหนึ่งระบบที่เราได้ทดสอบกัน ก็คือระบบ Lane Keeping Aid ที่ช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน ซึ่งไม่มีในรถที่วางจำหน่ายในบ้านเรา แต่เท่าที่ทดลองใช้งานพบว่า ระบบมีการดึงพวงมาลัยกลับคืนมาในช่องทางได้ดี จะทำงานเฉพาะเวลาที่ล้อข้างใดข้างหนึ่งชิดเส้นแบ่งเลนมากๆ โดยหน้าจอจะแสดงสัญลักษณ์พร้อมๆ กับดึงพวงมาลัยเพื่อให้ตัวรถกลับมา

     เมื่อลองใช้ระบบ Lane Keeping Aid คู่กับ Adaptive Cruise Control ดูนั้น ก็เรียกได้ว่าแทบจะกลายเป็นรถขับขี่อัตโนมัติกันเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นระบบขับขี่อัตโนมัติเสียทีเดียวนะครับ เพราะระบบ Lane Keeping Aid จะทำงานในกรณีที่รถกำลังเบี่ยงออกนอกเลนเท่านั้น ดังนั้น ผู้ขับขี่ยังคงต้องบังคับพวงมาลัยให้ตรงเลนอยู่ดี

 

     หลังจากเดินทางมาถึงโรงแรมที่หาดบอนได เมืองซิดนี่ย์ ก็ถือเป็นการจบทริปทดสอบ Ford Focus 1.5 EcoBoost ที่ประเทศออสเตรเลียแห่งนี้ ซึ่งช่วยให้เราได้เห็นประสิทธิภาพของรถคันนี้ได้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าสเป็คหลายๆอย่างในบ้านเราจะต่างจากที่เราทดสอบที่นี่ แต่โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นรถที่น่าใช้งานรุ่นหนึ่ง ทั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ ช่วงล่างที่กินขาดตามสไตล์ฟอร์ด รวมถึงอ็อพชั่นล้ำๆ ภายในห้องโดยสาร

     ทำให้ Ford Focus 1.5 EcoBoost กลายเป็นรถC-Segment ที่น่าขับที่สุดรุ่นหนึ่งขณะนี้เลยล่ะครับ

 

 

อัลบั้มภาพ 42 ภาพ

อัลบั้มภาพ 42 ภาพ ของ รีวิว Ford Focus 1.5 EcoBoost ใหม่ ซิ่งไกลถึงออสเตรเลีย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook