ทดลองขับ 2016 Toyota Prius และ Mirai ใหม่ เข้าไทยเถอะขอร้อง...!
แม้ว่าแผนการทำตลาดในไทยยังไม่แน่ชัดนัก แต่โตโยต้าประเทศไทย ก็พา Sanook! Auto ไปสัมผัส 2016 Toyota Prius ใหม่ ไกลถึงประเทศญี่ปุ่น แถมด้วยรถยนต์พลังงานฟิวเซลอย่าง Mirai ที่แม้ว่าอย่างหลังนี่จะมีความหวังเข้าไทยเท่าหัวไม้ขีด แต่เฮ้ย! มันขับดีกว่าที่คิดไว้เยอะเชียวล่ะ
การทดสอบ Toyota Prius ใหม่ ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของ ‘2016 Toyota Technology Media Trip’ ซึ่งไม่เพียงแต่พาไปทดลองขับรถไฮบริด แต่ยังพาไปสัมผัสเทคโนโลยีไฮบริดแบบใกล้ชิด ทั้งกระบวนการผลิต ไปจนถึงการรีไซเคิล หรือแม้แต่การทดสอบการชน เพื่อให้แน่ใจว่ารถที่ใช้ไฟฟ้าแรงสูงเป็นส่วนประกอบในการขับเคลื่อน จะยังคงความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี ไม่ช็อตคนนั่งหรือหน่วยกู้ภัยไปเสียก่อน
Toyota Prius ที่เราทดสอบในครั้งนี้ ถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 4 แล้ว ซึ่งถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการทั้งที่ญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อย และจะทยอยเปิดตัวในประเทศต่างๆต่อไป (ซึ่งหวังว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน)
บทความมินิรีวิว โตโยต้า พรีอุส ในครั้งนี้ คงไม่ขอสาธยายไล่เรียงอ็อพชั่นติดรถดังเช่นที่เราเคยทดสอบกันในประเทศ เพราะคันที่เราขับเป็นสเป็คญี่ปุ่นแท้ๆ ดังนั้น ไว้รอรถรุ่นนี้เข้าไทยจริงๆเสียก่อน ไว้ถึงวันนั้นจะอธิบายกันอย่างละเอียดเลยครับ
Prius เจเนอเรชั่นที่ 4 ใหม่ล่าสุด ใช้โครงสร้างแพล็ตฟอร์มใหม่ที่เรียกว่า TNGA หรือ Toyota New Global Architecture ซึ่งเป็นพื้นฐานเดียวกับครอสโอเวอร์ Toyota C-HR นั่นเอง จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงคาดเดาว่า C-HR จะมาพร้อมเครื่องยนต์ไฮบริด 1.8 ลิตร บล็อกเดียวกับพรีอุสด้วย
ขุมพลังขับเคลื่อนเป็นแบบไฮบริด ทำงานผสานกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 73 แรงม้า ที่ปรับปรุงให้มีขนาดเล็กลง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
ในคันที่เราทดสอบนั้น เป็นรุ่นย่อยที่เรียกว่า A Premium ซึ่งถือเป็นรุ่นท็อปสุดในตลาดญี่ปุ่น มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เนื่องจากญี่ปุ่นจะมีรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือกด้วย ให้อัตราสิ้นเปลืองตามมาตรฐาน JC08 อยู่ที่ 40.8 กม./ลิตร จากเดิมที่สามารถทำได้ 32.6 กม./ลิตร ในเจเนอเรชั่นที่ 3
การทดสอบ Prius ใหม่ ครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกจะเป็นการทดสอบระบบความปลอดภัย Safety Sense และช่วงที่สองเป็นการทดสอบในสนาม ที่ทำให้เราเห็นถึงสมรรถนะของรถคันนี้อย่างเต็มที่
โตโยต้า พรีอุส ใหม่ ถูกติดตั้งระบบ Safety Sense ใหม่ล่าสุดเป็นครั้งแรก ซึ่งระบบดังกล่าวประกอบด้วย
1.ระบบเตือนและหลีกเลี่ยงการชน (PCS – Pre-collision System)
2.ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ (LDA – Lane Departure Warning)
3.ระบบไฟสูงอัตโนมัติ (AHB – Automatic High Beam)
4.ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติด้วยเรดาร์ (Radar Cruise Control)
ระบบที่ว่านี้ถูกติดตั้งอยู่ในรถโตโยต้าที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของกล้อง และเรดาร์เซ็นเซอร์ เพื่อตรวจจับวัตถุและเส้นถนน ช่วยป้องกันความเสี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
ซึ่งการทดสอบในรถ Prius ครั้งนี้ จะเป็นการวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 25 กม./ชม. พุ่งเข้าหาวัตถุกีดขวาง โดยไม่จำเป็นต้องเหยียบเบรกเลยแม้แต่น้อย
ผลลัพท์ที่ได้คือรถคันที่เราทดสอบ สามารถหยุดเองได้จริง โดยระบบดังกล่าวยังสามารถรองรับการทำงานได้ถึงความเร็ว 30 กม./ชม. แต่เหตุผลที่ให้ใช้ความเร็ว 25 กม./ชม. ก็เอาไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด โดยรถจะส่งสัญญาณเสียงเตือนผู้ขับขี่ พร้อมปรากฏสัญลักษณ์เตือนให้เหยียบเบรกขึ้นบนหน้าปัด เมื่อตัวรถเห็นว่าผู้ขับขี่ไม่มีการหักพวงมาลัยหลบ หรือเหยียบเบรกแต่อย่างใด ตัวรถก็จะสั่งให้มีการเบรกเต็มกำลัง เพื่อป้องกันไม่ให้รถพุ่งชนสิ่งกีดขวางด้านหน้า
หลังจากที่ตัวรถหยุดโดยอัตโนมัติแล้ว ระบบจะช่วยเหยียบเบรกค้างไว้เป็นเวลาราว 3 วินาที ก่อนจะปล่อยเบรกอีกครั้ง ซึ่งจังหวะนั้น ผู้ขับขี่จะต้องเหยียบแป้นเบรกด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้รถไหลไปข้างหน้า
ต่อมาเป็นการทดสอบระบบ VSC หรือ Vehicle Stability Control ที่ติดตั้งในรถที่วางจำหน่ายบ้านเราหลายรุ่นแล้ว แต่คราวนี้ไม่ได้ทดสอบกับพรีอุส หากแต่เป็น Toyota Crown Majesta ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถหรูรุ่นสูงสุดในตระกูลโตโยต้าที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่นแล้วล่ะครับ
ซึ่งการทดสอบจะเป็นการวิ่งบนถนนที่มีการฉีดน้ำเพื่อให้เปียกลื่นอยู่ตลอดเวลา โดยขับขี่ในเส้นทางคดเคี้ยวที่ความเร็ว 50 กม./ชม. ซึ่งมากพอที่จะทำให้ตัวรถสามารถหลุดโค้งได้อย่างง่ายดาย ซึ่งรอบแรกจะเป็นการขับขี่โดยปิดระบบดังกล่าวไว้ ผลที่ได้คือตัวรถจะมีอาการหน้าดื้อเล็กน้อย แล้วตามด้วยอาการท้ายปัด (Oversteer) จนต้องมีใช้ทักษะแก้อาการด้วยการหมุนพวงมาลัยไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างหนักหน่วง แต่ตัวรถก็ยังไม่วายเกิดอาการท้ายปัดอยู่ดี
แต่เมื่อขับขี่อีกรอบด้วยระบบ VSC พบว่าตัวรถสามารถแล่นไปตามโค้งได้อย่างราบรื่น ไร้ซึ่งอาการที่พบในรอบแรก เนื่องจากระบบดังกล่าวจะคอยตรวจสอบว่ารถกำลังจะมีอาการหน้าดื้อหรือท้ายปัดหรือไม่อย่างไร แล้วจึงสั่งให้ระบบเบรกชะลอความเร็วการหมุนของล้อข้างที่จำเป็น เพื่อดึงรถให้กลับมาวิ่งได้ตรงดังเดิม ก่อนที่รถจะเริ่มเสียหลักซะอีก ช่วยเพิ่มความปลอดภัยหากจำเป็นต้องขับขี่บนถนนเปียก
ต่อมาในช่วงที่ 2 นั้น เราได้มีโอกาสขับพรีอุสใหม่บนสนามจริง ควบคู่ไปกับรถฟิวเซลอย่าง Mirai และรถสปอร์ตคูเป้หรูอย่าง Lexus RC300h แต่น่าเสียดายที่ช่วงนั้นปรากฏว่ามีสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ทำให้เราต้องใช้ความเร็วอย่างเหมาะสม เพราะหากจะซัดกันแบบเต็มเหนี่ยวก็อาจมีสิทธิ์ไถลตกรันออฟได้ง่ายๆ
ซึ่งฟีลลิ่งที่ได้ในรถแต่ละคัน ผู้เขียนขอสรุปง่ายๆเลยนะครับ เนื่องจากระยะทางที่เราได้ทดสอบก็ไม่ได้ยาวเท่าไหร่นัก แถมยังมีฝนโปรยปรายลงมาตลอดอีกด้วย
พรีอุส – ยังคงมีหลักการทำงานระบบไฮบริดไม่ต่างจากเดิม แต่สิ่งที่ได้คือความรู้สึกกระฉับกระเฉงมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน อัตราเร่งเมื่อกดคันเร่งจนสุดถือว่าปรู๊ดปร๊าดทันใจ อันเป็นผลจากการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์เบนซิน
จุดสำคัญคือฟีลลิ่งแป้นเบรกจากรุ่นเดิมที่ยังให้การ Linear ไม่ดีเท่าไหร่นัก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกดสวิตช์อะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่เหยียบแป้นเบรก คราวนี้มันถูกแก้ไขจนหายไปแทบหมดสิ้น จนแทบไม่ต่างอะไรกับรถทั่วไป ขณะที่น้ำหนักพวงมาลัยถือว่าดีขึ้นอย่างชัดเจน ให้ความเป็นธรรมชาติ น้ำหนักพอดีมือ ไม่เบาและไม่หนักจนเกินไป
Mirai – รถยนต์พลังงานฟิวเซลที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง โดยในตอนแรก ผู้เขียนไม่ได้คาดหวังกับรถคันนี้เท่าใดนัก แต่เมื่อได้สัมผัสจริงกลับพบว่า รถคันนี้มีอัตราเร่งที่แรงเหลือเชื่อ ให้แรงดึงที่มากกว่าพรีอุสอย่างชัดเจน แม้ว่าบอดี้จะมีขนาดใหญ่กว่า น้ำหนักมากกว่า ช่วงล่างนุ่มนวลชวนฝันกว่าที่คิด แต่จุดที่ผิดคาดเล็กน้อย คือเสียงจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่สอดแทรกเข้ามายังห้องโดยสารขณะกดคันเร่งนั้น ค่อนข้างดังกว่าที่คิดไว้ เพราะเดิมทีคิดว่าระดับเสียงจะอยู่ใกล้เคียงกับรถไฟฟ้า (EV) ทั่วไป
Lexus RC300h – รถสปอร์ตคูเป้ 2 ประตูพลังงานไฮบริดคันนี้ มีจุดเด่นอยู่ที่การตกแต่งภายในห้องโดยสาร ที่ออกแบบอย่างประณีตกว่ารถทั้งสองรุ่นที่ผ่านมาชัดเจนตามสไตล์เล็กซัส แต่ด้านสมรรถนะแล้วนั้น อัตราเร่งยังถือว่าใกล้เคียงกับรถ Mirai หรืออาจด้อยกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของผู้ที่คิดจะซื้อรถคันนี้ น่าจะเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ไม่เน้นซิ่ง ในใจลึกๆยังคงถวิลหาความประหยัด เน้นขับแล้วหล่อ เท่านี้ก็พอแล้ว
นอกเหนือจากการทดสอบในสนามแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญก็คือ การทดสอบการชน (Crash Test) เพื่อแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างนิรภัย GOA ของโตโยต้า โดยรถที่นำมาทดสอบนั้น ยังคงเป็น โตโยต้า พรีอุส ที่เราได้ทดสอบไปก่อนหน้านี้นั่นเอง
โดยปกติแล้ว รูปแบบการทดสอบการชนจะมีลักษณะเป็นแบบ Frontal Offset คือการชนเข้ากับวัตถุหยุดนิ่งด้วยหน้าปะทะเพียงครึ่งเดียว ที่ความเร็ว 64 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วที่ใช้กันเป็นมาตรฐานสากลในแล็บทดสอบการชนทั่วโลก
แต่การทดสอบครั้งนี้มีลักษณะเป็นแบบ Oblique Frontal Crash Test คือการใช้รถบรรทุกจำลองขนาด 2.5 ตัน พุ่งเข้าชนรถพรีอุสใหม่ ในแนวเฉียง 2.5 องศา ด้วยความเร็วถึง 95 กม./ชม. โดยโตโยต้าระบุว่าการชนลักษณะนี้ จะสร้างความเสียหายได้มากกว่าเดิมคิดเป็น 1.3 เท่าเลยทีเดียว
หลังจากที่เหล็กขนาด 2.5 ตัน พุ่งเข้าชนรถพรีอุส จนทำให้ถุงลมนิรภัยรอบคันพองตัวออก เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ตัวรถถูกแรงปะทะส่งผลให้กระเด็นไปไกลจากเดิมราว 10 เมตร
แต่ผลลัพท์ที่ได้คือ พรีอุส เจเนอเรชั่นที่ 4 กลับมีการยุบตัวของห้องโดยสารน้อยกว่ารุ่นที่แล้วถึง 55 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าแรงปะทะจะมีมากขึ้น ขณะที่แบตเตอรี่ซึ่งติดตั้งไว้บริเวณใต้เบาะนั่งแถวที่ 2 ยังคงสามารถเก็บประจุไฟไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่มีการรั่วไหลจนทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้โดยสาร หรือหน่วยกู้ภัยที่เข้ามาช่วยเหลือ
สรุปแล้ว Toyota Prius เจเนอเรชั่นที่ 4 ใหม่คันนี้ ถือเป็นรถที่ขับดีขึ้น น่าใช้งานมากขึ้น แถมยังประหยัดขึ้นโดยไม่ต้องง้อปลั๊กชาร์จไฟ ก็ได้แต่หวังว่าคนไทยจะได้สัมผัสเทคโนโลยีไฮบริดล่าสุดนี้ในอนาคตอันใกล้เช่นกัน
อัลบั้มภาพ 35 ภาพ