เมอร์เซเดส-เบนซ์ จัดงาน “Mercedes me BOX THE BEST Wrap Up Party”

เมอร์เซเดส-เบนซ์ จัดงาน “Mercedes me BOX THE BEST Wrap Up Party”

เมอร์เซเดส-เบนซ์ จัดงาน “Mercedes me BOX THE BEST Wrap Up Party”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงาน “Mercedes me BOX THE BEST Wrap Up Party” ส่งท้ายการมอบประสบการณ์แห่งไลฟ์สไตล์ที่ดีที่สุด เพื่อแทนคำขอบคุณจากแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ แก่สื่อมวลชน และลูกค้าคนสำคัญ ที่ให้การตอบรับ และสนับสนุนเมอร์เซเดส มี บาร์ - Mercedes me BAR ช็อกโกแลตบาร์แห่งแรกของเมืองไทย และ เมอร์เซเดส มี บ็อกซ์ – Mercedes me BOX สไตลิช ลีฟวิ่ง สเปซ ที่ใหญ่ที่สุดใจกลางเมือง โดยภายในงานยังได้สร้างสรรค์ “Mercedes-Benz Heritage Drink” เมนูเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์สูตรพิเศษ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนวัตกรรม และเทคโนโลยีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มาให้ได้ลิ้มลองกัน ณ เมอร์เซเดส มี บ็อกซ์ ลาน สยามดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่า

     มร.ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานภายใต้ปรัชญาในการนำเสนอ “สิ่งที่ดีที่สุด” ให้กับลูกค้าทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า โดยการเปิดตัวทั้ง “Mercedes me BAR” ช็อกโกแลตบาร์แห่งแรกของเมืองไทยที่รวบรวมช็อกโกแลตที่ดีที่สุดจากทั่วโลกมาไว้ในที่เดียว และ “Mercedes me Box” สไตลิช ลีฟวิ่ง สเปซ ที่ใหญ่ที่สุดใจกลางเมือง ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคอนเซ็ปต์ของเมอร์เซเดส มี สโตร์ (Mercedes me Store) จากทั่วโลก เพื่อสะท้อน จิตวิญญาณของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการนำเสนอนวัตกรรม และประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ อีกทั้งเพื่อมุ่งสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายทั้งกลุ่มที่เป็นลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบุคคลทั่วไป”

     “ตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือนที่ผ่านมาที่เมอร์เซเดส มี บาร์ และเมอร์เซเดส มี บ็อกซ์ ได้เริ่มเปิดดำเนินการนั้น ทางแบรนด์ได้สะท้อนคุณค่าของแบรนด์ทั้งในด้านความหลงใหล (Fascination) และความสมบูรณ์แบบ (Perfection) ให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดผ่านอาหาร ศิลปะ และดนตรี มาให้กับผู้บริโภค รวมถึงในด้าน “ความรับผิดชอบ” (Responsibility) โดยการจัด 2 กิจกรรมเพื่อเป็นการร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่าง กิจกรรม “Priceless Menu for Priceless Opportunities” ที่ได้เชิญชวนลูกค้าทุกท่านเข้ามารับประทานอาหารในเมนูพิเศษ ที่สร้างสรรค์โดยเชฟมาริอัน บาลาเน็ค แห่งร้าน Lobster & Oyster และจ่ายค่าอาหารเป็นจำนวนเงินตามศรัทธา ซึ่งเมื่อหลังจากจบกิจกรรม สามารถรวบรวมเงินสมทบทุนได้เป็นจำนวน 414,131 บาท เพื่อมอบเป็นทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนพระดาบสจังหวัดชายแดนภาคใต้ในมูลนิธิพระดาบส ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา ขาดแคลนทุนทรัพย์ ไม่มีอาชีพ และไม่มีความรู้พื้นฐานเพียงพอที่จะเข้าศึกษาต่อในสถาบันวิชาชีพ โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงทางแบรนด์ยังได้จัดอีกหนึ่งกิจกรรมเพื่อ เด็กนักเรียนผู้ยากไร้ตามจังหวัดต่างๆ ที่ขาดแคลน ด้วยการจัดทำชุดเครื่องเขียนที่ประกอบด้วยสมุดจดบันทึก ดินสอ ยางลบ และกบเหลาดินสอ โดยลูกค้าสามารถเลือกตราประทับ พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและประทับลงบนสมุดก่อนนำไปบริจาคได้ตามต้องการอีกด้วย” มร.ไมเคิล กล่าวเพิ่มเติม

     มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ “Mercedes me BAR” และ “Mercedes me BOX” เป็นการนำเสนอประสบการณ์รูปแบบใหม่ภายใต้คอนเซปต์ที่โดดเด่น ตอกย้ำให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เปี่ยมไปด้วยพลัง และความคิดสร้างสรรค์ มีชีวิตชีวา สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานใหม่ของการสร้างประสบการณ์ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือนที่ผ่านมา มีผู้สนใจเข้ามารับประทานอาหาร และเยี่ยมชมร้านกว่า 20,000 คน พร้อมทั้งมีการติดแฮชแท็คและเช็คอินผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียทั้งในเฟซบุ๊คและอินสตาแกรมกว่า 5,000 ครั้ง”

     “เมอร์เซเดส มี บาร์ และเมอร์เซเดส มี บ็อกซ์ มีกำหนดเปิดให้บริการจนถึงสิ้นเดือนมกราคมปีนี้ รวมระยะเวลากว่า 4 เดือนนับตั้งแต่เปิดให้บริการทางร้านได้รับการตอบรับจากลูกค้าคนสำคัญเป็นอย่างดี และเพื่อแทนคำขอบคุณจากแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ แก่สื่อมวลชนและ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุนเมอร์เซเดส มี บาร์ และเมอร์เซเดส มี บ็อกซ์ ด้วยดีตลอดมา ทางบริษัทฯ จึงได้จัดงาน “Mercedes me BOX THE BEST Wrap Up Party” ขึ้น พร้อมนำเสนอ “Mercedes-Benz Heritage Drink” เมนูเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์สูตรพิเศษ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่สร้างสรรค์จาก มิกซ์โซโลจิสต์มากฝีมือ เพื่อให้ทุกท่านได้ลองลิ้มชิมรสกันในงาน รวมถึงยังได้เชิญศิลปินชื่อดัง อย่าง วงสครับบ์ และจีน กษิดิศ มาร่วมสร้างสีสัน ท่ามกลางเหล่าบรรดาเซเลบริตี้ชั้นนำของเมืองไทย ที่ให้เกียรติเข้าร่วมงาน อาทิ คุณคิด เบญจรงคกุล ผู้เป็น Mood Curator ของโปรเจคนี้ พร้อมด้วยกลุ่มเพื่อน เป็นต้น”

Mercedes-Benz Heritage Drink
- Route-Based on The Rock
     เครื่องดื่มที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Route-Based Operating Strategy เทคโนโลยีแผนที่ที่ล้ำสมัยและประหยัดพลังงานจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ น้ำแข็งก้อนใหญ่กลางแก้วสลักลายแผนที่ของร้าน Mercedes me BOX เพื่อสื่อถึงระบบแผนที่อัจฉริยะและจุดหมายปลายทาง เครื่องดื่มเมนูนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกาแฟเอสเพรสโซ่ คาราเมล และน้ำเชื่อมกลิ่นมะลิ ด้วยรสชาติที่เข้มข้นของกาแฟเอสเพรสโซ่ กับความหวานของคาราเมล และกลิ่นหอมเบาบางของน้ำเชื่อมกลิ่นมะลินั้นจะสร้างประสบการณ์ม็อกเทลแปลกใหม่ที่คุณจะไม่มีวันลืม มีราคาอยู่ที่ 180 บาทต่อแก้ว

- The Rockin’ Mocktail
     เครื่องดื่มที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program) ซึ่งแม้ในสภาพถนนที่ไม่ราบเรียบก็ยังช่วยให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปได้อย่างปลอดภัย เปรียบเสมือนสเฟียร์สีฟ้าด้านในที่สามารถกลิ้งไปได้เรื่อยๆ ไม่ว่าแก้วจะถูกวางไว้ในสภาพใดก็ตาม ส่วนผสมหลักของเมนูนี้คือ โซดา น้ำลิ้นจี่ และสเฟียร์สีฟ้าที่มีน้ำแอปเปิ้ลรสเปรี้ยวโดดเด่นอยู่ภายใน แฝงไว้ด้วยความซ่านิดๆ เพื่อความสดชื่น ทำให้มื้ออาหารมีความพิเศษยิ่งขึ้น มีราคาอยู่ที่ 180 บาทต่อเซ็ต (1 เซ็ตมี 3 แก้ว)

- 4MATIC Mocktail Flight
     เครื่องดื่มที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC) ที่ช่วยรองรับน้ำหนักและการทรงตัวของรถในทุกสถานการณ์ เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและราบรื่น เมนูนี้จะเสิร์ฟในฝาครอบที่มีควันบางๆ อยู่ภายใน เพื่อสื่อว่าแม้ในสภาพอากาศที่มีหมอกควันปกคลุม รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็ยังขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างไร้อุปสรรค มีส่วนผสมหลักคือน้ำองุ่น และช็อกโกแลตไซรัป เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง 4 ชนิดคือ ดาร์กช็อกโกแลต เสาวรส สายไหม และผลไม้อบแห้ง ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อให้ลูกค้าทุกท่านได้ลิ้มรสชาติเครื่องดื่มใน 4 อารมณ์ที่แตกต่างกัน มีราคาอยู่ที่ 180 บาทต่อแก้ว

- Airbag Signature Drink
     เครื่องดื่มที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากระบบถุงลมนิรภัยที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นผู้คิดค้นขึ้น และเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์แห่งแรกที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ เมนูนี้เสิร์ฟในฝาครอบเจลาตินที่มีควันเบาบางอยู่ภายใน เปรียบเสมือนถุงลมนิรภัยที่พร้อมปกป้องผู้ขับขี่อยู่เสมอ ส่วนผสมหลักของเครื่องดื่มเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างรสชาติเปรี้ยวและหวานจากน้ำแตงโม น้ำเลมอน ไซรัป สไปรท์ และเพิ่มความหวานสดชื่นจากธรรมชาติด้วยบลูเบอร์รี่และสตรอเบอร์รี่สด มีราคาอยู่ที่ 180 บาทต่อแก้ว

- Hybrid Blue Shot
     เครื่องดื่มที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Electric Driving จากรถยนต์ Plug-in Hybrid ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า มีความพิเศษอยู่ที่การแยกเป็นสองชั้นของม็อกเทลที่อยู่ด้านล่าง และวอดก้า Grey Goose ที่อยู่ด้านบน โดยจะจุดไฟสีฟ้าบนชั้นวอดก้าจนกระทั่งแอลกอฮอล์ระเหยไปจนหมด ซึ่งเปลวไฟสีฟ้านี้เองที่เป็นตัวสื่อถึงเครื่องยนต์ไฟฟ้าที่กำลังทำงานอยู่ ส่วนผสมหลักของเมนูนี้คือ ลิ้นจี่ โซดา เลมอน และวอดก้า มีรสชาติขมนิดๆ เปรี้ยวซ่า และแฝงไว้ด้วยกลิ่นหอมของวอดก้า มีราคาอยู่ที่ 180 บาทต่อเซ็ต (1 เซ็ทมี 3 แก้ว)


 

[Advertorial]

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook