รีวิว MG GS 1.5 เทอร์โบใหม่ คล่องตัวขึ้น อ็อพชั่นเพียบ ในงบไม่ถึงล้าน

รีวิว MG GS 1.5 เทอร์โบใหม่ คล่องตัวขึ้น อ็อพชั่นเพียบ ในงบไม่ถึงล้าน

รีวิว MG GS 1.5 เทอร์โบใหม่ คล่องตัวขึ้น อ็อพชั่นเพียบ ในงบไม่ถึงล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     MG เป็นแบรนด์น้องใหม่ในบ้านเรา ที่มีการทุ่มเททำตลาดเอาใจผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกับการเปิดตัว MG GS รุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร เสริมทัพไลน์เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรที่วางจำหน่ายมาก่อนหน้านี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าเอ็มจีเดินหน้าเอาจริงเอาจังกับตลาดเมืองไทยขนาดไหน

     บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงเปิดโอกาสชักชวนทีมงาน Sanook! Auto เข้าร่วมทดสอบ MG GS 1.5 เทอร์โบใหม่ล่าสุด บนเส้นทางกรุงเทพฯ – ชัยภูมิ – อุดรธานี เพื่อสัมผัสสมรรถนะของเครื่องยนต์บล็อกใหม่นี้ ว่าจะมีดีอย่างไรบ้าง

201

     เดิมที MG GS จะมีจำหน่ายเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบเท่านั้น ซึ่งราคาก็ขึ้นไปอยู่ระดับล้านต้นๆ ทำให้ใครหลายคนหันไปมองแบรนด์อื่นที่อยู่ในตลาดมานานกว่าแทน จึงเป็นสาเหตุให้เอ็มจีเสริมความแข็งแกร่งด้วยรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เพื่อให้สามารถทำตลาดด้วยราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท โดยยังคงไว้ซึ่งอ็อพชั่นแน่นเอี๊ยดจากรุ่น 2.0 ลิตร แถมสมรรถนะจากเครื่องยนต์ก็เหนือกว่าที่เราคาดหวังไว้อีกด้วย

     แม้ว่าดูเผินๆ MG GS เหมือนจะเป็นรถในกลุ่มครอสโอเวอร์ขนาดเล็กประเภทเดียวกับ Honda HR-V หรือ Toyota C-HR ที่เริ่มวางขายในตลาดโลกแล้ว แต่หากวัดกันที่มิติตัวถังจะพบว่า MG GS เป็นรถเอสยูวีขนาดคอมแพ็คเทียบเท่ากับคู่แข่งอย่าง Honda CR-V และ Chevrolet Captiva ในขณะนี้ ดังนั้นการตั้งราคาจำหน่ายไว้ไม่ถึง 1 ล้านบาท จึงทำให้ GS มีจุดเด่นที่น่าสนใจในด้านราคาขายเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน

213

     MG GS รุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ 1.5T D และ 1.5T X ทำให้ขณะนี้ MG GS ในตลาดบ้านเรามีรุ่นย่อยเพิ่มเป็นทั้งหมด 4 รุ่น โดยมีรุ่น 2.0T D และ 2.0T X AWD วางไว้ในระดับราคาที่สูงกว่า

     ดีไซน์ภายนอกของ MG GS 1.5 เทอร์โบ ถูกยกมาจากรุ่น 2.0 ลิตรแทบทั้งหมด ด้วยตัวถังที่ออกแบบภายใต้แนวคิด Brit Dynamic และ Diamond Flow Design ของเอ็มจี ดังนั้น หากจะสังเกตจุดต่างสำคัญระหว่างทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็คงต้องดูจากล้ออัลลอยที่มีขนาดอยู่ที่ 17 นิ้ว ในรุ่น 1.5 ลิตร ทั้งสองรุ่นย่อย เนื่องจากรุ่น 2.0 ลิตร จะเป็นล้อสีทูโทนขนาด 18 นิ้ว ทั้งสองรุ่นย่อยเช่นกัน

216

     ด้านหน้าของรุ่น 1.5T X ซึ่งเป็นรุ่นท็อปของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ถูกติดตั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ฮาโลเจน พร้อมระบบปรับ-สูงต่ำตามน้ำหนักการบรรทุก พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ ขณะที่ Daytime Running Light แบบ LED ถูกแยกไปติดตั้งไว้บริเวณกันชนหน้าใกล้กับโคมไฟตัดหมอก

     ดีไซน์ด้านข้างไม่ต่างจากรุ่น 2.0 ลิตร จะต่างก็เพียงล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ดีไซน์เป็นรูปตัว V แบบ 5 ก้าน พร้อมยาง Maxxis Bravo HP ขนาด 215/60 R17

228

     ด้านท้ายของรุ่น X จะถูกติดตั้งไฟท้ายแบบ LED แต่หากเป็นรุ่น D จะเป็นแบบธรรมดา ติดตั้งสปอยเลอร์สีดำเหนือประตูท้าย พร้อมเสาอากาศแบบครีบฉลาม กันชนตกแต่งด้วยสีดำพร้อมไฟตัดหมอกคู่หลัง สวิตช์เปิดประตูท้ายถูกซ่อนไว้ขอบล่างของประตูเหนือช่องติดแผ่นป้ายทะเบียน พร้อมเซ็นเซอร์กะยะระด้านท้ายแบบ 4 จุด

     ในรุ่น 1.5T X ยังมาพร้อมราวหลังคาและซันรูฟเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า โดยแผ่นบังแสงใต้กระจกซันรูฟจะเป็นแบบทึบ ขณะที่รุ่น D ทั้งเครื่องยนต์ 1.5 และ 2.0 ลิตร จะไม่มีซันรูฟมาให้

234

     ภายในห้องโดยสารยังคงให้ความโปร่งโล่งตามสไตล์รถเอสยูวี ในรุ่น 1.5T D ถูกติดตั้งเบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีดำ สามารถปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทางฝั่งผู้ขับ ขณะที่ฝั่งผู้โดยสารเป็นแบบปรับมือ

253

     เบาะนั่งด้านหลังยังสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ มีพนักพิงศีรษะแบบปรับระดับได้จำนวน 3 จุด ตัวพนักพิงสามารถปรับเอนได้ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายขณะเดินทาง พนักพิงตรงกลางสามารถดึงออกเป็นที่วางแขนพร้อมช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง รวมถึงมีช่องแอร์ด้านหลังติดตั้งมาให้ด้วย

237

     แผงคอนโซลถูกตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ Piano Black ให้ความเงางาม ติดตั้งหน้าจอเครื่องเสียงแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว (รุ่น 1.5T D มีขนาด 6.1 นิ้ว) รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth พร้อมช่อง AUX/USB มีระบบนำทางมาให้ในตัว รวมถึงระบบ InkaNet สำหรับเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับตัวรถ เพื่อการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆได้มากขึ้น

     ระบบ InkaNet จะอาศัยการทำงานของอินเตอร์เน็ตบนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ซึ่ง MG GS ที่มีระบบดังกล่าวจะมาพร้อมแพ็คเกจอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์จากทรูมูฟ เอชทุกคัน ทำให้สามารถตรวจสอบสถานะต่างๆ ของตัวรถได้ เช่น ปิดประตูสนิทหรือไม่, ระดับแบตเตอรี่รถ, ระดับน้ำมัน, แสดงพฤติกรรมการขับขี่ พร้อมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน, สั่งล็อค-ปลดล็อคประตูผ่านแอพพลิเคชั่น, แจ้งเตือนรถเคลื่อนที่หรือสตาร์ทเครื่องยนต์ เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถกำหนดขอบเขตแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อแจ้งเตือนหากรถมีการวิ่งเกินขอบเขตที่กำหนดไว้ ซึ่งฟังก์ชั่น InkaNet ของ MG GS มีด้วยกันทั้งหมดถึง 12 ฟังก์ชั่นเลยทีเดียว

235

     ในฝั่งผู้ขับขี่ถูกติดตั้งพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ 4 ก้าน สามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift (เฉพาะรุ่น 1.5T X) ขณะที่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control มีลักษณะเป็นก้านติดตั้งไว้หลังพวงมาลัย มาตรวัดความเร็วเป็นแบบเรืองแสงสีขาว แต่หากปรับคันเกียร์มาที่โหมดสปอร์ต (S) หน้าปัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดง

     ใกล้กับคันเกียร์เป็นสวิตช์ควบคุมเบรกมือไฟฟ้า พร้อมปุ่มระบบช่วยเหยียบเบรกค้างขณะรถติด (Auto Vehicle Hold) และปุ่มปิดการทำงานระบบควบคุมการทรงตัวมาให้

248

     ใต้หน้าจอเครื่องเสียงเป็นแผงควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติ รวมถึงปุ่มช็อตคัตสำหรับระบบเครื่องเสียง ใกล้กันเป็นสวิตช์ไฟฉุกเฉิน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเซ็นทรัลล็อค

     ก้านควบคุมไฟเลี้ยวของ MG GS จะอยู่ฝั่งซ้ายเช่นเดียวกับรถยุโรป ฝั่งขวาเป็นก้านควบคุมที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ (รุ่น 1.5T X) ติดตั้งกระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ และกุญแจอัจฉริยะ Keyless Entry พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์มาให้ (รุ่น 1.5T X)

243

     หากกล่าวโดยสรุปในด้านอ็อพชั่นของตัวรถ ถ้าเป็นรุ่นท็อปสุดของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร (1.5T X) พบว่าไม่ด้อยไปกว่ารุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเลย จะต่างกันก็เพียงเบาะไฟฟ้าฝั่งผู้โดยสารแบบ 6 ทิศทาง (ซึ่งรุ่น 2.0T D ก็ไม่มีให้เช่นกัน) และระบบตรวจสอบความดันลมยาง TPMS เท่านั้นเอง

     ด้านระบบความปลอดภัยอัดแน่นตามาตรฐานรถยุโรป ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System), ระบบควบคุมการเบรกในโค้ง CBC (Curve Brake Control), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction Control System), ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System), เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติทั้ง 5 ที่นั่ง เป็นต้น

233

     MG GS 1.5 ลิตร ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส 15E4E แบบ DOHC 4 สูบ Turbo TGI-TECH ความจุ 1,490 ซีซี พร้อมระบบจ่ายน้ำมันแบบฉีดตรง Gasoline Direct Injection ให้กำลังสูงสุด 167 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700-4,400 รอบต่อนาที

     ในรุ่น 1.5 ลิตร ถูกติดตั้งระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด Twin Clutch Sportronic Transmission (TST) ขณะที่รุ่น 2.0 ลิตรเป็นแบบ 6 สปีด

223

     ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบอัสระมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรกเป็นแบบติดตั้งดิสก์เบรกมาให้ทั้ง 4 ล้อ พร้อมผ้าเบรกแบบ Ceramic Compound ด้านหน้าเป็นแบบมีช่องระบายความร้อน พร้อมพวงมาลัยแบบไฟฟ้า EPS

206

     ในด้านการขับขี่นั้น เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่ารุ่น 2.0 ลิตร แต่กลับให้ความรู้สึกคล่องตัวกว่าอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรถรุ่นนี้ติดตั้งระบบขับเคลื่อนแบบสองล้อหน้า จึงไม่ต้องมีการส่งกำลังไปยังล้อหลังให้สูญเสียกำลัง

     ระบบเทอร์โบในรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ถูกเซ็ทให้ทำงานที่รอบเครื่องยนต์ต่ำกว่าในรุ่น 2.0 ลิตร ทำให้ช่วงตีนต้นของรถคันนี้มีอัตราเร่งที่ค่อนข้างดี ตอบสนองต่อเท้าได้อย่างทันใจ ซึ่งเป็นความตั้งใจของวิศวกรที่ต้องการให้รุ่น 1.5 ลิตร เป็นรถที่กระฉับกระเฉงยามขับในเมือง

210

     ขณะที่ช่วงความเร็วประมาณ 60-80 กม./ชม. ขึ้นไป จะเริ่มมีอาการแผ่วให้เห็นบ้างแล้ว ซึ่งจุดนี้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรจะได้เปรียบมากกว่า แต่อย่างไรก็ดี เรี่ยวแรงของรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบก็ยังมีให้ใช้พอประมาณยามขับขี่ทางไกล เหมาะสำหรับใครที่ไม่เน้นรีบร้อน ไปกันแบบเรื่อยๆ แต่หากเท้าหนักจริงๆ ก็คงต้องเน้นไปที่เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบแทน

     อย่างไรก็ดี MG GS ยังมีอาการประจำที่พบในเอ็มจีหลายรุ่น นั่นคือ การตอบสนองของคันเร่งและเกียร์ที่ค่อนข้างช้าสักเล็กน้อย ในช่วงที่ต้องการเร่งแซงนั้น เมื่อกดคันเร่งไปประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของระยะแป้นคันเร่งทั้งหมด คันเร่งไฟฟ้าจะใช้เวลาประมาณ 1 วินาทีเศษ ก่อนที่จะสั่งให้เกียร์ดาวน์ชิฟท์ลง จากนั้นต้องรออีกประมาณ 1 วินาทีเพื่อให้สมองกลลดอัตราทดเกียร์ลงมา ตัวรถจึงจะมีแรงดึงพุ่งไปข้างหน้า ดังนั้น การคิกดาวน์ในแต่ละครั้ง อาจต้องรอเวลาประมาณ 2 วินาทีหลังจากที่เหยียบแป้นคันเร่ง เพื่อสร้างแรงบิดให้รถพุ่งทะยานไปข้างหน้า

204

     ขณะที่พวงมาลัยจะมีอาการฟรีอยู่บ้างเล็กน้อย ต้องเพิ่มสมาธิในการควบคุมพวงมาลัยที่ความเร็วสูงมากขึ้น ขณะที่น้ำหนักพวงมาลัยถูกเซ็ทมากำลังดี ไม่หนักหรือเบาจนเกินไป

     ด้านช่วงล่างถือว่าทำได้ดีทีเดียว สามารถซับแรงสะเทือนขณะวิ่งผ่านคอสะพาน หรือช่วงที่พื้นผิวขรุขระได้ดี แต่ยังคงไว้ซึ่งความเสถียรขณะใช้ความเร็วสูง ทำให้ MG GS ถือเป็นคอมแพ็คเอสยูวีที่มีช่วงล่างดีที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดขณะนี้เลยก็ว่าได้

224

     ด้านการเก็บเสียงนั้น หากเป็นเสียงจากช่วงล่างหรือพื้นถนนอยู่ในระดับค่อนข้างดี ทั้งเสียงยางและเสียงช่วงล่างขณะตกหลุมหรือวิ่งผ่านพื้นผิวขรุขระ แต่เสียงลมกลับมีเล็ดลอดให้ได้ยินบริเวณกระจกมองข้างด้านหน้าอยู่บ้าง แต่ก็ยังถือว่ารับได้ ไม่ได้ดังจนน่ารำคาญแต่อย่างใด

     หากต้องการใช้งานแป้นเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย หรือ Paddle Shift นั้น จำเป็นต้องผลักคันเกียร์มายังตำแหน่ง S เสียก่อน จึงจะสามารถปรับเป็นแบบแมนนวลได้ หากยังอยู่ในตำแหน่งเกียร์ D แล้วล่ะก็ แป้นเปลี่ยนเกียร์จะไม่สามารถใช้งานได้เลย ซึ่งจุดนี้เองถือว่าควรปรับปรุงด้วย เพราะ Paddle Shift จะมีประโยชน์โดยเฉพาะขณะคับขันที่ต้องการแรงเบรกจากเครื่องยนต์ช่วย หรือยามที่ต้องการเร่งแซงแบบฉับพลัน ซึ่งก็คงไม่สะดวกนักหากต้องปรับเป็นเกียร์ S บ่อยครั้งที่มีการเร่งแซง

226

     ด้านความอเนกประสงค์ของพื้นที่ภายในห้องโดยสารไม่แพ้รุ่น 2.0 ลิตร นั่งโดยสารได้อย่างโปร่งสบาย เบาะนั่งแถวหลังสามารถปรับเอนได้ เหมาะสำหรับใครที่ต้องการหลับพักผ่อน ก็สามารถโดยสารได้อย่างสบาย มีช่องแอร์ด้านหลังให้เสร็จสรรพ ถือเป็นรถครอบครัวที่น่าใช้งานคันหนึ่ง

230

     สรุป MG GS 1.5 เทอร์โบใหม่ ด้านสมรรถนะเน้นการขับขี่ในเมืองเป็นหลัก ตีนต้นดี ส่วนช่วงกลางถึงปลายเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบทำได้ดีกว่า ด้านความเร็วการตอบสนองของคันเร่งและเกียร์ยังไม่รวดเร็วอย่างใจคิด แต่ถือว่ารับได้ถ้าไม่ได้รีบร้อน ช่วงล่างถูกเซ็ทมาพอดีๆ ไม่แข็งไม่นิ่มเกินไป ให้ความมั่นใจที่ความเร็วสูงพอควร ชูจุดเด่นที่อ็อพชั่นแน่นเต็มคันชนิดที่คู่แข่งได้แต่มองตาปริบๆ กับราคาจำหน่ายไม่ถึง 1 ล้านบาท ใช้งานคนเดียวก็ได้ ใช้งานทั้งครอบครัวก็ดี ถือเป็นอีกหนึ่งเอสยูวีที่น่าสนใจในตลาดขณะนี้ครับ

 

ราคาจำหน่าย MG GS 1.5 ลิตรเทอร์โบ มีดังนี้

MG GS 1.5T D ราคา 890,000 บาท
MG GS 1.5T X ราคา 990,000 บาท *รุ่นที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้

 

ขอขอบคุณผู้บริหาร บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ทุกท่าน ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้

 

อัลบั้มภาพ 53 ภาพ

อัลบั้มภาพ 53 ภาพ ของ รีวิว MG GS 1.5 เทอร์โบใหม่ คล่องตัวขึ้น อ็อพชั่นเพียบ ในงบไม่ถึงล้าน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook