ซื้อรถมือสองมาแล้วทำอย่างไร ต่อไป!!!

ซื้อรถมือสองมาแล้วทำอย่างไร ต่อไป!!!

ซื้อรถมือสองมาแล้วทำอย่างไร ต่อไป!!!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

เมื่อคุณเก็บหอมรอมริดได้เงินครบจะไป ดาวน์รึซื้อสดรถคันโปรดมาแล้ว  บางทีอาจเป็นรถคันแรก ของบ้านคุณ แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป บทความนี้จะบอกให้ทราบว่ามือใหม่(แต่)รถไม่ใหม่นั้น ควรจะทำอย่างไรบ้างเมื่อคุณขับคันนี้กลับมาที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

1. ทำความรู้จัก

อย่าตกใจว่าทำความรู้จักกับใคร ไม่ใช่ช่างซ่อมหรือคนขายคนสวยแน่นอน  แต่ที่ต้องรู้จักก็คือรถของคุณนั่นเอง  สิ่งที่คุณต้องรู้จัก ดังต่อไปนี้

-          รุ่นของรถ/ปี  บ่อยครั้งที่เราไปซื้ออะไหล่รถเองแล้วถ้าเราไม่รู้ชื่อ รุ่นที่แม่นยำเกิดปัญหาแน่นอนอย่างเช่น เพราะรถชื่อรุ่นเดียวกันแต่อาจใช้เครื่องยนต์ต่างกันก็มีไม่น้อย  เรื่องอย่างนี้ถือเป็นเรื่องหญ้าปากคอกที่ทำให้เจ้าของรถ ที่เรียกตัวเองว่าเซียนเหงื่อแตกมาหลายคนแล้ว  เวลาไปซื้ออะไหล่รถที่ตัวเองขับอยู่ทุกวัน

-          เครื่องยนต์  คุณควรรู้ขนาดซีซีของเครื่องยนต์และจำนวนวาวล์  ชื่อบล็อกของเครื่องยนต์ของรถคุณ  เช่น ใช้มิตซู-แลนเซอร์  บล็อก 4G63 ตัวเลขเพียงไม่กี่ตัวกลับบอกความแตกต่างของรุ่นได้มากมาย  ถ้าไม่รู้เปิดฝากระโปรงรถดูส่วนใหญ่จะมีเขียนรายละเอียดเอาไว้  บางคนเถียงว่าดุจากคู่มือรถก็รู้  แต่ก็ทราบกันดีว่าคู่มือการใช้รถนั้นน้อยนักที่จะตกมาถึง มือของเจ้าของรถมือสองมือสามอย่างเราๆ

-          จุดวัดระดับน้ำมัน-น้ำยาต่างๆ คุณต้องรู้ว่าอันไหนเป็นจุดวัดระดับน้ำมันเครื่อง  น้ำมัน พวงมาลัยพาวเวอร์  น้ำมันเบรก น้ำยาแอร์  หม้อน้ำรถ  หม้อพักน้ำ  น้ำฉีดกระจก  น้ำกลั่นแบตเตอรี่  ฯลฯ  อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าจะวัด ระดับตรงไหนอย่างไร   มีรุ่นน้องที่ทำงานชอบถกเถียง เรื่องรถกับผมบ่อยๆ  เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ซื้อรถมือสองมาใหม่คุยเรื่องระบบต่างๆของรถราวกับท่องมาซะยืดยาว  แต่เปิดฝากระโปรงรถให้ผมดู  ก่อนจะถามว่าที่ดูระดับ น้ำมันเครื่องมันอันไหนกันแน่อันนี้อาการหนักจริงๆ  ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ

-          ดูระดับ น้ำมันเครื่องตรงไหน Max – Min

-          เติมน้ำหม้อ น้ำตรงไหน  ควรเติมในหม้อพักและไม่ให้มากไปนักที่ สำคัญควรเปิดน้ำที่หม้อน้ำดูด้วยว่าเต็มรึเปล่าที่สำคัญต้องไม่ทำตอนเครื่อง ร้อนอันตราย

-          ดูระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่  ต้องเปิดดูทุกช่องเติมไม่ต้องล้นเพียงแต่เติมให้พอดีกับ พลาสติคที่เป็นลิ้นลงไปในช่องก็เพียงพอแล้ว ห้ามอย่า เติมจนล้น

-          ดูระดับน้ำฉีดกระจกด้วย  ถ้าแห้งจะทำให้ปั้มฉีดน้ำเสียหายได้ อันนี้บอกให้ลูกๆมาช่วยเติมได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่าง ดี

-          ดูระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ เป็นบางรุ่นไม่ต้องเปิดฝาก็รู้สามารถดูได้จากข้างกระปุกมีขีดบอกระดับ มีคำเตือนเล็กน้อยอยู่บริเวณฝาอ่านบ้างก็ ดี

-          ดูระดับน้ำมันเบรก  บางครั้งไม่ต้องถึงกับเปิดฝามาดูเพราะมีขีดบอกสามารถมองเห็นจากภายนอกเช่นกัน

-          ดูระดับน้ำยาแอร์  ดูจากกระปุกพักน้ำยาแอร์สังเกตกระปุกที่มีท่อ อะลูมีเนียมรึทองแดงต่อเข้านั้นแหละมีเลนซ์ สังเกตถ้าน้ำยาแอร์เต็มเราจะไม่เห็นว่ามีอะไรในเลนซ์นั้นเลยแต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นใน เลนซ์นั้นมีน้ำวิ่งๆเมื่อไหร่ อย่าคิดว่าน้ำยาแอร์เต็มนะครับนั้นคือน้ำยาแอร์หมดแล้วละครับไปร้านแอร์ให้ตรวจเช็คเลย

 

2. เปลี่ยนซะให้เรียบ

-          น้ำมันเครื่องและใส้ กรองน้ำมันเครื่อง  บ่อยครั้งรถจากเต็นท์นั้นเค้าไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้บางครั้งพึ่งเปลี่ยนมาถือว่าเป็นโชคดีไปแต่ถ้าให้ดีถ้าเราดึงสายวัดออก มาแล้วน้ำมันเครื่องเหนียวๆ ไม่หยดติ๋งๆเปลี่ยนไปเถอะครับเพื่อความสบายใจ ถ้าเปลี่ยนแล้วขับรถกลับบ้านมาดึงเข็มวัดออกมาเห็นน้ำมันเครื่องทำไมขุ่นซะ แล้วให้คุณดีใจไว้เลยว่าน้ำมันเครื่องนั้นดีเพราะสามารถดึงเขม่าที่จับกับ ชิ้นส่วนในเครื่องออกมาได้เป็นอย่างดีรวมถึงเปลี่ยนใส้กรองน้ำมันเครื่องด้วยไม่แนะนำไปใช้ใส้กรองจากปั้มเพราะ สมัยนี้ใส้กรองของเทียมมีเยอะอายุการใช้งานสั้นกว่า (ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้) ใครรักรถมาแนะให้ใช้ ของแท้แต่ผมชอบใช้ของเทียบเพราะมีคุณภาพพอๆกันและอาจดีกว่าด้วยซ้ำไป  ว่างๆผ่านไปแถววรจักรก็ไปซื้อซะ ถือว่าเป็นการหัดทำความรู้จักกับร้านอะไหล่ไว้ ดูด้วยว่าต้องแถมแหวนยางโอริงมาด้วยแต่อย่าไปคิดว่าเอามาใช้กับกรองน้ำมันเครื่อง ล่ะโอริงนี้ไว้ใช้กับน็อตที่เป็นก๊อกปิด-เปิดอ่าง น้ำมันเครื่องของเราต่างหาก เวลาให้ช่างใส่ดูกับเค้าด้วย ก่อนใส่แนะว่าให้เอาน้ำมันเครื่องเรานี่แหละทาขอบยางของกระปุกกรองด้วยกัน ยางเบี้ยวออกมาเวลาขันเข้า

-          ใส้กรองอากาศ  ส่วนใส้กรองอากาศก็เป่าซะ แนะให้เป่าเองตามปั้มเจ็ทที่มีที่เป่าอากาศตรงที่เราเติมลมมีหลายคนขับรถมาจนแก่เป่าอากาศยังไม่เป็นการเป่ากรอง อากาศต้องเป่าจากในออกนอก ห้ามเป่าจากข้างนอกเข้าในเด็ดขาดถึงแม้เป่าแล้วฝุ่นกระจายดีแต่นั้นคือการทำให้กรองอากาศของเราตันไปเลยแต่ถ้าเก่าแล้วเปลี่ยนไปเลยซักอันได้เลยไม่ได้แพงอะไรนัก สำหรับมือใหม่ระวังจะถอดไม่เป็นให้สังเกตสลักยึดให้ดี ดึงออกให้ครบไม่ต้องออกแรงมากนักพอประมาณเดี๋ยวพวกสายอากาศจะหลุดแล้วใส่กลับไม่ถูก

-          ใส้กรองเบนซิน  สุดท้าย ใส้กรองเบนซินอันนี้แนะนำให้เปลี่ยนเลยไม่กี่ตังค์จะได้ไม่ต้องมาโอดครวญภายหลังว่ารถเร่งไม่ขึ้นกระตุกเป็นช่วงๆ แต่อันนี้แนะนำไปให้ช่างเปลี่ยนให้ อย่าลืมถามความรู้เล็กๆน้อยๆจากช่างด้วยตามที่ผมว่ามาหากยังสงสัย เห็นมั้ยว่านอกจากจะได้เปลี่ยนกรองเบนซินแล้วยังได้ความรู้อีกต่างหาก

 

3. ตรวจอะไรที่ มันยุ่งๆที่ห้องเครื่องอีกที

            ลองตรวจดูที่สายพานไดฯ สายพานแอร์ สาย หัวเทียน หัวเทียนให้ช่างคนที่เปลี่ยนกรองเบนซินเราเมื่อสักครู่นั้นแหละดูให้คิด ดูว่าเปลี่ยนกรองเบนซินอันเดียวได้ประโยชน์มากมายหากสายพานอันไหนเก่าหมดสภาพแล้วเปลี่ยนซะมีราคาไม่ถึงร้อยถึงร้อยกว่าบาท แต่แพงกว่านั้นไปร้านอื่นเหอะ สายหัวเทียนเก่ารึเปล่าหากเก่ามากๆขาดแล้วพันๆเทปมาละก็เปลี่ยนไปเลย ให้เค้าเช็คหัวเทียนด้วยเพียงแต่เอามาล้างปรับเขี้ยวก็พอใช้ได้อีกนานหัวเทียนไม่ใช่ของเสียง่ายหมดอายุง่ายอายุการใช้งานราว 20,000 กม. ( 2000 กม.) หากเจอช่างที่ดีแต่ถ้าเยินจริงๆเปลี่ยนก็ได้เพราะราคาถูกมากๆ  ตัวเราเองก่อนกลับบ้านแวะไปตามห้างซื้อน้ำอเนกประสงค์มาติดรถไว้ก็ดีไว้ฉีดพวกขั้วแบตฯ ขั้วหัวเทียน จานจ่าย(ถ้าไม่รู้จักว่าอันไหนไปถามช่างคนเดิมอีกนั่นแหละ) เวลาเก็บอย่าเอาไปไว้ที่ร้อนเกิดตูมตามขึ้นมาไม่รู้ด้วย

4. คราวนี้มาดูที่ช่วงล่างกันบ้าง

 -          ถ่วงล้อ  อันนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้ามเพราะเมื่อเรา ใช้ความเร็วสูงขึ้นหน่อยรถกลับสั่นๆ อาจนึกไปถึงช่วงล่างอื่นๆ แต่ความจริงปัญหามันแค่เพียงถ่วงล้อเท่านั้นเอง  ผมแนะให้ไปถ่วงล้อที่เรียกว่า “ถ่วงจี้”เพราะเท่าที่ทำมาได้ผลดีพอสมควร ดีกว่าการถอดล้อไปถ่วงข้างนอก สังเกตด้วยว่าบางครั้งน็อตล้อเราอาจเป็นคนละแบบทำให้การถอดล้อไปถ่วงไม่แม่นยำแต่ ถ้าให้ดีก็เปลี่ยนน็อตให้มันเหมือนกันให้หมดเลยจะดีกว่า ก่อนถ่วงบอกให้ช่างแกะหินที่ติดล้อออกให้ด้วยนี่ก็เป็นผลให้การถ่วงล้อไม่แม่นยำ  แนะให้ไปถ่วงหลังไปล้างรถจากปั้มใหม่ เพราะโคลนที่ติดล้อก็เป็นอีกปัจจัยนึงเช่นกัน เคยแนะให้รุ่นน้องที่มีปัญหาที่ว่าไปถ่วงจี้มาหลายคนส่วนใหญ่จะบอกว่ายังกับได้ รถใหม่มาแน่ะ

-          ยางรถ  ดูว่าดอกยางยังเต็มๆดีหรือไม่ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเปลี่ยนถามจากร้านยางดูก็ดีถ้าร้านที่ดีบ่อยครั้งเค้าจะบอกว่าใช้ได้อีกนาน แต่ถ้าเค้าบอกว่าเปลี่ยนเถอะให้สังเกตว่าดอกยางเรายังเต็มยางยังไม่เสียรูป แถมยางยังสวย เนื้อยางยังสดอยู่หรือไม่ ไม่แนะนำให้ไปทำตามปั้มแต่ก็ตามใจหากใครอยากลองดูการเติมลมควรเติมซัก 27-28 หากอยากได้ความนิ่มนวลและ 30 หาก ต้องการประหยัดน้ำมันได้อีกนิดหน่อยในการวิ่งแบบรถไม่ติด อย่าลืมเติมลมยางอะไหล่ด้วยแนะให้เติมเกินปกติไว้ 2 ปอนด์ (ประมาณ 32 ปอนด์) เพราะไม่ได้เติมบ่อยๆ แนะอีกนั้นแหละให้ไปเติมที่ปั้มเจ็ทเพราะเครื่องวัดแบบดิจิตัลค่อนข้างแม่นยำกว่าร้านยางซะอีกและอย่าลืมอุดหนุนเค้าบ้างก็ดี

-          เช็ค ช่วงล่าง  ไปอู่ที่รับทำช่วงล่างให้เค้ายกรถตรวจพวกยางหุ้มแร็คช่วงล่างอื่นๆ เพราะบางครั้งเปื่อยๆแล้วเปลี่ยนไปเลยราคาไม่ถึง 300-400 บาท ถ้าขาดขึ้นมาแต่เราไม่รู้จะลำบาก  ทั้ง ทรายทั้งโคลนหลุดเข้าไปละก็เสียมากกว่านี้อีกมาก ให้ช่างตรวจลูกหมาก-คันชัก-คันส่ง-ปีกนก โยกๆแล้วหลวมๆหรือไม่แต่พวกนี้ถ้าไม่หลวมมากเอาไว้ตอนได้โบนัสออกหรือกู้สหกรณ์ได้ก่อนค่อยมาเปลี่ยนก็ได้หากยังพอใช้ได้

5. มาดูภายในรถกันบ้าง

-          หากรถมีกลิ่น  แนะนำว่าให้เราจอดรถตากแดดหมุนกระจกลงมาเล็กน้อยทำซ้ำๆหลายวันช่วย ได้บ้างหาน้ำหอมมาใส่รถบ้างบางทีไม่เหม็นโดนเหงื่อเราไปซักพักจนกลิ่นติดเบาะ สงสารคนมานั่งรถเราบ้าง แนะนำอย่าสูบบุหรี่ในรถเพราะเขม่าจากบุหรี่กับกำมะหยี่ทั้งหลายในรถเรารกกันมากทั้งสีทั้งกลิ่น

-          ยางรองพื้น  บางทีเต็นท์ให้มาเฉพาะยางแผ่นเล็กทำให้ทรายกระจายฝังในพรม แนะให้ใช้ยางที่เป็นรูปแอ่งๆ ไม่สวยนักแต่สะอาดอย่าบอกใครไม่มีทรายกระเด็นออกด้วยหรือถ้ากำลังทรัพย์มีก็เอาแบบที่มีขายตามห้างที่มีเฉพาะรุ่นก็ได้

-          น้ำยา ต่างๆ  หาซื้อน้ำยาต่างๆเช่นแชมพูล้างรถ ยาขัดเบาะ ยาขัดสีรถ หัดทำเองบ้างจะได้รู้จุดอ่อนของตัวถัง-สีรถเราเอง

-          เสียง ดังหน้าคอนโซล  อันนี้สืบเนื่องาจากรถใช้มาหลายปีเกิดจากการเคยถูกถอดคอนโซลเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง แต่การหาจุดนี่ยากที่สุดพวกนี้ต้องค่อยๆหาแล้วหาซื้อตัวยึดพลาสติคตามวรจักรมาใส่แทนได้หากของเก่าแตกหรือหลวมรึไม่มีเลย

 6. สังเกตกันบ้าง

 -          ซื้อรถมาวันแรกผมแนะนำ ให้ล้างเลยไปให้โดนน้ำฉีดแรงๆตามคาร์แคร์ ถึงแม้เต็นท์จะขัดสีรถมาสวยงามสักปานใด เพราะรถหลายคันพึ่งไปสาดสีมาทั้งคัน  การประกอบขอบยางกันน้ำซีลซิลิโคนประตูและกระจกหน้า-หลังต่างๆ อาจทำมาไม่ดีพอเพราะทำเองในอู่สีไม่ได้ทำที่ร้านกระจกที่ชำนาญกว่า บ่อยครั้งที่น้ำไหลเข้ารถเป็นถังๆ เวลาฝนตกจะได้รีบซ่อมเองหรือให้เต็นท์ทำให้หากตกลงกันไว้แล้ว

-          แอร์  หากได้ยินเสียงแต็กๆ ดังติดๆกันขณะเปิดแอร์ทำให้รอบเครื่องเราขึ้นๆลงๆ ให้ช่างเช็คดูช่างที่เก่งๆ จะยังไม่วิ่งไปดูที่คอมแอร์ แต่จะตรวจที่ตัวปรับระดับความเย็นที่ภาษาช่างแอร์เรียกรางเลื่อน (Slice volume) เพราะรถเก่าแล้วพวกนี้จะสึกรึหมดอายุเปลี่ยนซะ ราคา 300-400 บางทีไม่ถึงกับต้องไปยุ่งกับคลัชแอร์หรอกครับ ร้านทำแอร์ผมชอบร้านที่แท็กซี่เค้าชอบไปทำกันเพราะราคาไม่แพงคุยกันได้ แต่ไม่ใช่ร้านที่แท็กซี่ไม่เข้าไม่ดีนะครับอย่างผมใช้ทั้งสองร้านเพราะที่เจอความชำนาญร้านอาแปะของ ผมเนี่ยเก่งเข้าขั้นเลยทีเดียวแต่ราคาเอาเรื่องเหมือนกันเวลาเข้าซ่อมถามไว้เลยว่าเท่าไหร่ ต่อไปเถอะลดได้นิดหน่อยดีกว่าไม่ลดเลย ซ่อมบ่อยๆชำนาญขึ้นเดี๋ยวก็รู้ราคาไปเอง

-          ตรวจดู หลอดไฟรถ ไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟหรี่  ไฟ ท้าย-ไฟเบรก ไฟกระพริบซ้ายขวา ไฟถอย  ไฟทะเบียน ติดครบหรือไม่จัดการให้เรียบร้อยสมบูรณ์

 
หากมีอะไรนอกเหนือจากนี้ต้องเช็คต้องเปลี่ยนคงต้องอาศัยการเอาใจใส่ และความช่างสังเกตจากตัวคุณเอง ย้ำต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่แค่เพียงช่วง แรกๆเท่านั้น  หมั่นหาความรู้เสมอๆควรให้คนในครอบครัวมีส่วนร่วมด้วย สร้างความสัมพันธ์กันโดยมีรถเป็นสื่อนี่ก็ถือว่ารถไม่ใช่แค่เพียงเป็นพาหนะอย่างเดียวใช่มั้ยละครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook