ฝนตกชุก...ระวัง!!...รถรั่ว

ฝนตกชุก...ระวัง!!...รถรั่ว

ฝนตกชุก...ระวัง!!...รถรั่ว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เนื่องจากในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ฝนตกทุกวัน บางครั้งตกหนักสลับกับปรอย ๆ ทั้งวันก็มี เลยเป็นเหตุให้ผมต้องเอาเรื่องนี้มาเสนอกันอีกสักหน ปัญหาเกี่ยวกับ “รถรั่ว” ในช่วงหน้าฝนนี้ ยิ่งบางท่านเจอปัญหาหนัก เพราะที่จอดรถไม่มีหลังคากันฝน ต้องจอดตากฝนทั้งวัน และแถมช่วงกลางคืนอีกต่างหากก็เยอะ พอหลาย ๆ วันเข้า น้ำฝนก็สามารถเล็ดลอดเข้ามาในรถได้สิครับ จากรถยนต์ก็เลยกลับกลายไปเป็นตู้ปลาซะงั้น!

เรื่องน้ำฝนสามารถเล็ดลอดเข้ามาในรถได้นั้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดกับรถที่ใช้งานมานาน ระดับ 5-7 ปีขึ้นไปครับ ปัญหาใหญ่ ๆเกิดจากพวกซีลยางตามขอบประตูเริ่มเสื่อมคุณภาพครับ ซีลยางพวกนี้จะติดประกบอยู่กับตัวรถ อย่างเช่น ประตูและฝากระโปรงท้ายซึ่งหน้าที่หลักของซีลยางพวกนี้ก็คือ ป้องกันเสียงจากภายนอกเข้ามาในตัวรถ และช่วยป้องกันไม่ให้น้ำเข้ามาภายในตัวรถ

เมื่อซีลยางขอบประตูพวกนี้เสื่อม สังเกตได้ไม่ยากครับ เริ่มจากเวลาล้างรถมักจะมีน้ำซึมเข้ามาภายในห้องโดยสาร หรือเวลาที่รถวิ่งด้วยความเร็วจะมีเสียงลมลอดเข้ามาในห้องโดยสาร ดังกว่าที่เคยเป็นและมากขึ้นเรื่อย ๆ หรืออาจจะมีกลิ่นต่าง ๆ จากภายนอกรถเข้ามาสร้างความรำคาญภายในห้องโดยสาร สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ แหละครับบอกเหตุให้ทราบว่าซีลยางขอบประตูเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว

ซีลยางขอบประตูของแท้เบิกห้างฯ นั้น สนนราคาจัดว่าไม่ถูกเลยทีเดียวแหละครับ แต่ถ้าหาซื้อจากร้านอะไหล่ทั่วไปราคาจะถูกกว่า และจะถูกกว่าของแท้เกินครึ่งเมื่อหันไปหาของเทียม แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ของเทียมราคาถูก แต่ก็ใช้ไม่ทนทานเท่าใดนัก อยู่ได้ประมาณ 3–4 ปีก็กลับบ้านเก่าแล้ว ถ้าเป็นของแท้ ๆ ก็จะอยู่ได้นานหน่อย ไม่ต่ำกว่า 5 ปีหรือถ้าเป็นของจากนอกที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ดีกว่าบ้านเรามากขึ้นไปอีกนิด ก็อาจจะรับใช้รถของท่านได้นานราว 8–12 ปีทีเดียวล่ะครับ

ดังนั้น เราควรตรวจตราซีลยางขอบประตูพวกนี้ ประมาณ 4 เดือน/ครั้ง ก็จะดีไม่น้อยนะครับ สังเกตดูว่าเนื้อยางยังคงรูปอยู่มั้ย มีการบิดเบี้ยวไปจากเดิมหรือไม่ ประกบแนบสนิทกับตัวรถหรือเปล่า ลองเอามือบีบที่เนื้อยางดูว่ามีความนุ่มหรือแข็งขนาดไหน ซีลยางขอบประตูที่น่าจะยังใช้งานได้ดีไม่ควรแข็งจนเกินไป หรือนิ่มยวบยาบจนเกือบยุ่ย หรือมีรอยปริแตก ถ้าพบว่ายางขอบประตูเริ่มแข็งตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือยุ่ยจนแทบจะใช้ไม่ได้แล้วก็ควรเปลี่ยนครับ เพราะยางขอบประตูพวกนี้แหละที่มักทำให้น้ำฝนเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารได้

ยางขอบกระจกบังลมหน้าและหลังก็เป็นอีกจุดครับที่ทำให้น้ำฝนเล็ดลอดเข้ามาใน ห้องโดยสารได้ วิธีการตรวจสอบก็ไม่ยาก แค่นำรถไปล้างดู หากพบว่าตรงจุดใดมีน้ำซึมหรือไหลเข้ามาได้ ก็จัดการแก้ไขซะให้เรียบร้อย โดยใช้ “ซิลิโคน”ยาตามแนวขอบกระจก แค่นี้ก็จะช่วยบรรเทาปัญหาการรั่วซึมตรงบริเวณขอบกระจกบังลมได้มาก แต่อย่าลืมว่า!หลังจากใช้ “ซิลิโคน” ยาตามแนวขอบกระจกแล้ว ควรทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำรถไปล้างดูใหม่นะครับและลองเช็กรอยรั่วดูอีกครั้ง

อีกจุดหนึ่งก็คือ ส่วนที่เรียกว่าแผงจิ้งหรีด หรือแผงซี่ ๆ ตรงบริเวณที่ยึดก้านปัดน้ำฝน จุดนี้น้ำฝนก็อาจจะเล็ดลอดเข้า

มาได้เหมือนกันครับ เพราะเป็นช่องที่ใช้ระบายอากาศ จะมีท่อนำอากาศผ่านเข้ามาได้ห้องโดยสาร เพื่อไม่ให้กระจกบังลมหน้าเป็นฝ้า หรือระบายอากาศในห้องโดยสาร ลดความชื้นและกลิ่นอับในห้องโดยสาร แต่ในทางกลับกันก็อาจจะนำพาน้ำฝนเข้ามาในห้องโดยสารได้ หากเราขับรถฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำเป็นระยะเวลานาน ๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นช่องทางสำหรับนำพากลิ่นไม่พึงประสงค์จากภายนอกรถเข้ามาก็ได้ครับ ในต่างประเทศเขาจะมีอุปกรณ์ OPTION พิเศษ ที่เรียกว่า SNOW CAP ไว้สำหรับปิดช่องตรงแผงจิ้งหรีดนี้ ป้องกันไม่ให้น้ำฝนหรือหิมะที่ตกหนักเล็ดลอดเข้ามาในห้อง
ห้องโดยสารครับ

ยิ่งหน้าฝนที่มีฝนตกติดต่อกันแทบทุกวันแบบนี้ ก็ต้องดูแลเอาใจใส่กับรถยนต์กันมากหน่อยนะครับ และที่สำคัญ อย่ามัวดูแต่รถอย่างเดียวนะครับ สุขภาพของตัวท่านเองและคนรอบข้างก็สำคัญด้วย ผมว่าสำคัญซะยิ่งกว่ารถอีก ต้องดูแลอย่าให้ป่วยไข้ ยิ่งช่วงนี้มีโรคแปลก ๆ ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาเยอะ ล่าสุด...ก็ไข้หวัดใหญ่ 2009 ไงครับ เชื้อโรคนั้นค่อนข้างจะรุนแรงไม่เบาทีเดียว รักษาสุขภาพด้วย

ขอบคุณภาพและเนื้อหาประกอบจาก www.wishmotors.com

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook