รีวิว Honda CR-V ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ มาดหรูขึ้นกว่าเดิม

     ปกติแล้วการปรับไมเนอร์เชนจ์ของรถค่ายญี่ปุ่น ก็มักเป็นเพียงการปรับดีไซน์หน้าตาภายนอก-ภายในเล็กๆน้อยๆ เพิ่มอ็อพชั่นกระจุกกระจิกช่วยเพิ่มอายุตลาดเท่านั้น

     แต่สำหรับ Honda CR-V 2015 โฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ยังได้รับการปรับปรุงกำลังเครื่องยนต์ให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT เป็นครั้งแรกในรุ่นซีอาร์-วี ซึ่งเปลี่ยนบุคลิกจากเดิมที่เป็นหนุ่มสปอร์ตไฟแรง ให้กลายเป็นหนุ่มสุขุม มาดเท่ กว่าที่เคยเป็นมา

     เป็นโอกาสอันดีที่ Sanook!Auto ได้รับเชิญให้เข้าร่วมทดสอบ Honda CR-V 2015 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่นี้ บนเส้นทางลุยๆไกลถึง อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยคันที่เราได้รับทดสอบครั้งนี้เป็นรุ่น 2.4 EL 4WD ซึ่งถือเป็นรุ่นท็อปสุดที่มีจำหน่ายในบ้านเรา

 

     Honda CR-V ใหม่ ถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 4 แล้ว นับตั้งแต่โฉมแรกถูกเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1996 ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีนั้น ทางฮอนด้าก็ประสบความสำเร็จกับการทำตลาดซีอาร์-วีพอสมควร จนเรียกได้ว่าเป็นรถธงรุ่นสำคัญรุ่นหนึ่งของฮอนด้าเลยก็ว่าได้

     ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกทันสมัย สวยงาม เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง จะพาไปซิ่งนอกเมืองก็ไม่เคอะเขิน กับความอเนกประสงค์ในแบบรถเอสยูวี ที่หาไม่ได้ในรถซีดานทั่วไป

 

     Honda CR-V 2.4 EL 4WD ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถูกปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่ล้อมกรอบด้วยเส้นสายไฟ LED พร้อม Daytime Running Light ออกแบบให้รับกับกระจังหน้าสีดำขนาดใหญ่ เสริมโครเมี่ยมช่วยเพิ่มมิติและความหรูหรา

     กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยสีดำตัดกับแผงใต้กันชนสีเงิน ให้ความสปอร์ตลงตัว ไฟตัดหมอกดีไซน์รูปทรงแนวนอน ตกแต่งด้วยโครเมี่ยม ขณะที่ไฟหน้ายังคงเป็นแบบโปรเจคเตอร์ HID ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสว่างยามค่ำคืน

 

     ด้านหลังโดดเด่นด้วยแถบโครเมี่ยมขนาดใหญ่ ลาดยาวไปจรดกับไฟท้ายทั้งสองข้าง ติดตั้งแผงใต้กันชนสีเงินตัดกับสีดำและสีของตัวถังรถ ช่วยเพิ่มรายละเอียดให้ดูแน่นยิ่งขึ้น ติดตั้งล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว (ในรุ่น 2.4 EL) พร้อมยางขนาด 225/60 R18

 

     ห้องโดยสารภายในถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำดูสปอร์ตลงตัว ใช้วัสดุที่มีความอ่อนนุ่มลงไปในจุดต่างๆที่ต้องสัมผัสบ่อย เช่น แผงประตู, ที่วางแขน เป็นต้น เบาะนั่งฝั่งคนขับใช้วัสดุหนังแท้ ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อม Lumbar Support ขณะที่ฝั่งคนนั่งปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง

     จุใจด้วยที่วางแก้วพร้อมที่เก็บของกระจุกกระจิกมากมาย ถูกใจคนชอบพกสิ่งของติดตัวเยอะๆ พวงมาลัยเป็นแบบหุ้มหนัง พร้อมปุ่มเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) รวมถึงปุ่มสำหรับควบคุมเครื่องเสียง, ระบบ Cruise Control และโทรศัพท์แบบไร้สาย

 

     คอนโซลกลางติดตั้งหน้าจอขนาดใหญ่จำนวน 2 จอ ซึ่งแยกฟังก์ชั่นการทำงานกันออกไป โดยหน้าจอด้านบนสุดเรียกว่า ‘i-MID’ สำหรับแสดงข้อมูลทั่วไปทั้งเครื่องเสียงและข้อมูลการขับขี่ ส่วนหน้าจอถัดลงมาเป็นแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว สำหรับควบคุมเครื่องเสียง, ระบบนำทาง, ระบบโทรศัพท์ รวมถึงใช้เพื่อการตั้งค่าต่างๆของตัวรถ เป็นต้น

     เครื่องเสียงสามารถเล่นซีดี MP3 จำนวน 1 แผ่น รองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri, รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน รวมถึงพอร์ต HDMI และ USB ถึง 2 ตำแหน่ง ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 6 ตัว

 

     ซึ่งหน้าจอตรงกลางนี้ยังสามารถแสดงภาพจากกล้องมองหลัง ที่สามารถปรับมุมมองได้ 3 ระดับ รวมถึงภาพจากระบบ LaneWatch ที่จะแสดงมุมมองด้านข้างเมื่อเปิดไฟเลี้ยวซ้าย เพื่อความปลอดภัยในการเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลน

 

     ขุมพลังของ Honda CR-V ใหม่ ในรุ่นที่เราทดสอบนี้ เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC ความจุ 2.4 ลิตร i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 225 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ

     ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบอิสระดับเบิ้ลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ โดยด้านหลังเป็นแบบดรัมอินดิสก์

 

     ระบบความปลอดภัยถือเป็นจุดเด่นอีกอย่างของ CR-V ไมเนอร์เชนจ์ เพราะติดตั้งระบบ Honda LaneWatch สำหรับแสดงภาพมุมอับสายตาบนหน้าจอ ช่วยลดโอกาสเสี่ยงอุบัติเหตุจากการเปลี่ยนเลนได้ ติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย, ระบบเบรกแบบ ABS/EBD} ระบบควบคุมการทรงตัว VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA, ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ESS รวมถึงจุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX ด้านหลัง เป็นต้น

 

     บรรยายสรรพคุณมาเสียยืดยาว เรามาเริ่มออกเดินทางกันเลยดีกว่าครับ

     เริ่มแรกที่ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยสารของ Honda CR-V ใหม่ ก็สัมผัสได้ถึงความกว้างขวาง โปร่งโล่ง ซึ่งเป็นจุดเด่นของฮอนด้าแทบทุกรุ่น ที่ออกแบบเน้นผู้โดยสารเป็นสำคัญ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นแผงคอนโซล แผงประตู รวมไปถึงผ้าบุหลังคา จะถูกดีไซน์ให้เพิ่มพื้นที่ภายในให้มากที่สุด

     เบาะนั่งหุ้มหนังใช้วัสดุคุณภาพดี ฟองน้ำมีลักษณะให้ความแข็งกำลังดี ไม่ยวบจนเกินไป เบาะคู่หน้าดูจะโอบกระชับร่างกายน้อยไปนิด แต่ก็น่าจะถูกใจผู้โดยสารที่มีรูปร่างใหญ่

 

     เริ่มต้นออกเดินทางจากโชว์รูมฮอนด้า บริษัท ยูไนเต็ด ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด อันเป็นดีลเลอร์แห่งใหม่ย่านถนนราชพฤกษ์ ที่ใช้เป็นจุดปล่อยตัวในครั้งนี้ โดยทางทีมงานได้มีโอกาสเป็นผู้โดยสารเบาะหลังก่อน

     สิ่งที่ประทับใจอย่างแรกก็คือพนักพิงด้านหลังที่สามารถปรับเอนลงได้ 1 ระดับ ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้การเดินทางไกลๆสะดวกสบายยิ่งขึ้น เพราะไม่ต้องนั่งชันหลังตลอดเวลา ถือเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่ง อีกทั้งยังมีช่องแอร์ด้านหลังให้ความเย็นสบาย ไม่ต้องพึ่งลมเย็นจากด้านหน้าเพียงอย่างเดียว

     ช่วงระหว่างการเดินทางซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้โดยสารตอนหลังนั้น พบว่าช่วงล่างมีลักษณะค่อนไปทางแข็ง แต่ก็ยังโดยสารได้อย่างสบายๆ ไม่กระเด้งกระดอนเหมือนกับรถกลุ่ม PPV หลายๆรุ่นที่มีระดับราคาใกล้เคียงกัน เสียงที่เล็กลอดเข้ามาในห้องโดยสารส่วนใหญ่มาจากพื้นถนน แต่ก็ยังสามารถสนทนากับคนข้างๆได้โดยไม่ต้องเร่งเสียงให้ดังขึ้นแต่อย่างใด

 

     นั่นแหละครับคือความรู้สึกในการเป็นผู้โดยสารเบาะหลัง คราวนี้มาลองเป็นคนขับดูบ้าง ซึ่งจุดนี้เองที่เราจะได้เห็นข้อแตกต่างระหว่างโฉมไมเนอร์เชนจ์และโฉมก่อนหน้าพอสมควร เนื่องจากได้เปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที รวมถึงเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ และขยายความกว้างช่วงล้อทั้งหน้าและหลังมากขึ้นกว่าเดิม

     เริ่มต้นขับขี่ด้วยตัวเอง ก็สัมผัสได้ถึงอัตราเร่งที่มาแบบลื่นไหล ไม่มีจังหวะเปลี่ยนเกียร์ให้รำคาญใจ ขณะที่เรี่ยวแรงถือว่าใช้ได้ เนื่องจากบนรถมีผู้โดยสารถึง 4 คน บวกกับสัมภาระอีกเต็มคัน แต่ก็ยังเร่งแซงได้อย่างทันใจ เพียงแต่ต้องเหยียบคันเร่งลงไปจนรอบตวัดขึ้นมา 4-5,000 รอบต่อนาที จึงจะรู้สึกว่ารถพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

 

     ส่วนระบบช่วงล่างนั้น หากใช้ความเร็วบนทางตรงถือว่าไม่มีปัญหาใดๆ สามารถควบคุมพวงมาลัยได้อย่างมั่นใจ ขณะที่การเปลี่ยนเลน หรือเข้าโค้งที่ความเร็วตั้งแต่ 120 กม./ชม.ขึ้นไป ตัวรถจะออกอาการโคลงให้เห็นพอสมควร

     ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถค่อนข้างสูง บวกกับกระแสลมปะทะด้านข้างค่อนข้างมากตามธรรมชาติของรถเอสยูวี ทำให้ต้องใช้สมาธิในการควบคุมพวงมาลัยขึ้นพอควร ทางที่ดีการใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนดถือเป็น

 

     ระบบ Honda LaneWatch จะแสดงภาพด้านข้างรถฝั่งซ้าย เมื่อเปิดไฟเลี้ยวซ้าย แต่การใช้งานจริงพบว่าภาพที่ปรากฏอยู่ในระดับต่ำกว่าสายตาไปนิด ต้องละสายตาจากถนนลงมาพอสมควร ดังนั้นการดูจากกระจกข้างโดยตรงจะเห็นได้ง่ายและปลอดภัยกว่า

     นอกจากนั้นยังมีปุ่ม ECON มาให้ ซึ่งสามารถใช้เปิด-ปิดระบบ Eco Coaching ได้ เพื่อช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งหลังจากการเปิดโหมดดังกล่าวแล้ว คันเร่งรู้สึกหน่วงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อัตราเร่งด้อยลงไปบ้าง รวมถึงพัดลมแอร์จะทำงานเบาลง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อเพิ่มความประหยัดน้ำมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเอง

 

     สรุป Honda CR-V 2015 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถูกปรับปรุงรูปลักษณ์สวยงามทันสมัย เกียร์ CVT ใหม่ ช่วยให้การขับขี่ราบรื่น การเปลี่ยนเกียร์ลื่นไหลต่อเนื่อง เหมาะกับการใช้งานในครอบครัวที่ไม่เน้นความสปอร์ตเท่าใดนัก อ็อพชั่นภายในคุ้มค่า พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะหลังสามารถปรับเอนได้ ช่วยให้ผ่อนคลายยามเดินทางไกล รวมถึงสามารถปรับพับได้หลายรูปแบบ เพิ่มความอเนกประสงค์

     สิ่งที่ชอบ รูปลักษณ์ภายนอกสวยงาม เพิ่มลูกเล่นด้วยไฟหน้า LED ดูทันสมัย, เกียร์ CVT ทำงานได้อย่างราบลื่น, ห้องโดยสารกว้างขวาง

     จุดสังเกต ช่วงล่างติดกระด้างไปนิด, การทรงตัวที่ความเร็วสูงยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่

     ความเห็นของเรา Honda CR-V ใหม่ ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการใช้งานในครอบครัว, ความอเนกประสงค์ภายในถือเป็นจุดเด่น, เน้นความสะดวกสบายในการขับขี่

 

     Honda CR-V ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ มีสีตัวถังให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีน้ำตาลมุก, สีขาวมุก, สีเงินเมทัลลิก, สีดำมุก และสีเทาเมทัลลิก

     ราคาจำหน่าย Honda CR-V 2015 ใหม่ มีดังนี้

• 2.0 S ราคา 1,200,000 บาท
• 2.0 E 4WD ราคา 1,325,000 บาท
• 2.4 EL ราคา 1,495,000 บาท
• 2.4 EL 4WD ราคา 1,580,000 บาท

 

     ขอขอบคุณฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้