สัมผัสฮอนด้า ′เอ็นเอ็มโฟร์′ แรงบันดาลใจจากการ์ตูน

สัมผัสฮอนด้า ′เอ็นเอ็มโฟร์′ แรงบันดาลใจจากการ์ตูน

สัมผัสฮอนด้า ′เอ็นเอ็มโฟร์′ แรงบันดาลใจจากการ์ตูน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     สัมผัสฮอนด้า′เอ็นเอ็มโฟร์′ แรงบันดาลใจจากการ์ตูน
     โดย ภัทรฉัตร วิเชียรสรรค์ - เรื่อง รัฐสีมา พงษ์เสน - ภาพ


     มีผลงานระดับโลกหลายต่อหลายชิ้นที่ถูกสร้างขึ้นมาจากแรงบันดาลใจ สำหรับโลกของมอเตอร์ไซค์ก็เช่นกัน แรงบันดาลใจถูกสรรค์สร้างให้กลายมาเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นเดียวกัน และฮอนด้า "เอ็นเอ็มโฟร์" ก็เป็นหนึ่งในผลงานระดับมาสเตอร์พีซอีกชิ้นของค่าย "ปีกนก" มีแรงบันดาลใจมาจากมอเตอร์ไซค์ในโลกอนาคตของการ์ตูนแอนิเมชั่นชื่อดังประเทศญี่ปุ่นเรื่อง "อากิระ" โดยถูกถอดแบบและสร้างขึ้นมาให้เป็นรถพรีเมียมสกู๊ตเตอร์ มีหัวใจอยู่ที่ระบบขับเคลื่อนแบบ DCT (Dual-Cluth Transmission) เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดสำหรับมอเตอร์ไซค์ยุคนี้


     สำหรับในประเทศไทยแล้ว "ฮอนด้า เอ็นเอ็มโฟร์" ถูกนำเข้ามาจำหน่ายเมื่อปลายปี 2014 เพื่อเติมเต็มตลาดรถพรีเมียมสกู๊ตเตอร์ การออกแบบล้ำหน้า หน้ารถดูใหญ่โตและคล้ายคลึงกับเครื่องบินรบล่องหนอย่าง สตีลธ์ (Stealth) ไฟหน้ามัลติรีเฟล็กซ์เตอร์มีระยะสั้นกว่าชุดแฟริ่งข้างทรงเพรียวลม แฟริ่งข้างหน้ารถมีช่องเก็บของกระจุกกระจิกทั้งสองฝั่ง ฝั่งซ้ายจะมีช่องเสียบไฟสามารถชาร์จสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย

     ไฟเลี้ยวแอลอีดีและกระจกมองหลังแบบบิลด์อิน ท้ายรถทรงเพรียวลมขณะที่ไฟเบรกก็ยังเป็นหลอดแอลอีดีเช่นกัน เรือนไมล์ดิจิตอลเปลี่ยนสีได้ 25 เฉดสี บอกมาตรวัดชัดเจน ทั้งความเร็ว รอบเครื่อง นาฬิกา อุณหภูมิ ระดับเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังมีเบรกมือสำหรับการจอดบนทางลาดชันเพื่อป้องกันรถไหล มีมือดึงอยู่ที่แฟริ่งด้านซ้ายของรถ

     แม้จะเป็นรถสกู๊ตเตอร์ไซซ์ยักษ์ แต่ท่านั่งและบุคลิกของการขี่ถอดแบบรถสไตล์ครุยเซอร์เต็มตัว เบาะนั่งสูงจากพื้นเพียง 650 มม. เบาะสำหรับคนซ้อนปรับตั้งขึ้นมาด้วยกุญแจเพื่อเป็นพนักพิงหลังได้ ตำแหน่งวางเท้าเหยียดตรงโดยมีสเต็ป-บอร์ด (Step-board) ขนาดใหญ่มารองรับฝ่าเท้า ส่วนการควบคุมมีแฮนด์บาร์ทรงกว้าง ช่วยให้เลี้ยวได้ง่ายขึ้น เพื่อรับกับการวางตำแหน่งเครื่องยนต์ที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ

 

     รถขนาดใหญ่ก็ต้องมีเครื่องยนต์ใหญ่พอตัวเช่นกัน พื้นฐานเครื่องยนต์นั้นขุมพลังเบนซิน 4 จังหวะ 2 สูบ พาราลเลล ทวิน (Parallel Twin) 745 ซีซี ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ฟ (SOHC) ระบายความร้อนด้วยน้ำ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-FI ส่งกำลังด้วยโซ่ สามารถสร้างแรงม้าฝูงเล็กๆ ได้ 54 แรงม้า / 6,250 รอบ

     ดูแล้วอาจไม่มีอะไรพิเศษเลยสำหรับคันนี้ หากไม่ได้ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ DCT (Dual-Cluth Transmission) 6 สปีด เลือกโหมดการขับขี่ได้ 2 โหมด คือขับเคลื่อนอัตโนมัติ AT และเกียร์ธรรมดา MT หมด AT ยังมีโหมดย่อยออกมาอีก 2 โหมดด้วยกันคือ D (Drive), S (Sport) สำหรับโหมด D นั้นให้ผู้ขับบิดอย่างเดียว ระบบจะเปลี่ยนเกียร์ให้เอง กล่องสมองกล ECU จะควบคุมระบบทั้งหมด

     แต่หากเบื่อกับความนุ่มนวลในโหมด D อยากจะกระฉับกระเฉงขึ้นมาอีกหน่อย โหมด S จะตอบสนองด้วยการลากรอบให้สูงขึ้น และสำหรับโหมด MT ผู้ขี่ต้องเปลี่ยนเกียร์เอง จะมีปุ่ม "เพิ่มเกียร์" ที่นิ้วชี้และ "ลดเกียร์" ที่นิ้วโป้ง บนประกับแฮนด์ฝั่งซ้าย ใช้ได้สำหรับโหมด AT ด้วยเช่นกัน การเปลี่ยนโหมดระหว่าง AT, MT นั้นจะมีปุ่มอยู่ที่นิ้วชี้ฝั่งแฮนด์ขวา และปุ่มที่นิ้วโป้งสำหรับการเลือก โหมด D, S และ N (เกียร์ว่าง)

     สำหรับการเชนจ์เกียร์ลงเพื่อสร้างแรงเบรกจากเครื่องยนต์ หรือที่เรียกว่า "เอ็นจิ้นเบรก" นั้น กล่อง ECU จะคำนวณจากรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลงในการขับขี่ และจะสั่งเปลี่ยนเกียร์ทันทีที่ผู้ขี่ผ่อนคันเร่งหรือเบรก เพื่อความปลอดภัย เทคโนโลยี DCT จะอยู่ในรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์รุ่นใหม่ของฮอนด้าอย่าง วีเอฟอาร์ 1200 เอ็กซ์, เอ็นซี 750 เอ็กซ์, อินเทกร้า, ซีทีเอ็กซ์ 700 ซีอี อีกด้วย

     แต่จากน้ำหนักตัวที่มากถึง 245 กก. อาจเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับการใช้งานในเมือง และสำหรับการเดินทางไกลนั้นต้องคำนวณจุดแวะเติมน้ำมันให้ดี เพราะถังจุเพียง 11.6 ลิตรเท่านั้น พิสัยการเดินทางไกลจึงไม่มากเท่าไหร่ แต่ข้อเสียที่กล่าวมาข้างต้นก็ถูกตัดทิ้งไป เมื่อได้พบกับท่านั่งที่สบายและช่วงล่างที่นุ่มหนึบ

 

     ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบเทเลสโคปิค 43 มม. ด้านหลังโช้กอัพเดี่ยว โปรลิงก์ (Pro-link) ทำงานร่วมกับสะวิงอาร์ม รวมถึงระบบเบรก ABS ดิสก์เบรกหน้าจานเดี่ยวขนาด 320 มม. คาลิปเปอร์ 2 สูบ จานหลังขนาด 240 มม. คาลิปเปอร์ 1 สูบ และมีไซซ์ยางขนาดพอเหมาะไว้รองรับน้ำหนักรถที่เหมาะสม โดยวงล้อหน้า 18 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 120/70 ส่วนล้อหลัง 17 นิ้ว ยางขนาด 200/50

     แม้ว่าหน้าตาจะดูทะลุมิติ แต่ความเร็วสูงสุดเท่าที่ทดสอบได้นั้นอยู่ที่ 180 กม./ชม. (ผู้ทดสอบหนัก 85 กก.) เกินพอสำหรับรถในประเภทนี้ อัตราประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 25 กม./ลิตร ที่ความเร็วเฉลี่ยไม่เกิน 90 กม./ชม. แต่หากซัดกันเพลินก็ระวังหมดถังกันก่อนถึงที่หมายแล้วกัน เพราะหลังจากสเกลวัดน้ำมันตกลงมาจากเต็มถัง 1 ขีดแล้ว ในขีดที่เหลือจะลดลงเร็วมากเอาเป็นว่าอย่าบิดกันเพลินจนลืมดูระดับน้ำมันก็แล้วกัน

     ฮอนด้า เอ็นเอ็มโฟร์ เปิดตัวที่ 529,000 บาท อาจฟังดูแพงเกินไปสำหรับมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง แต่หากเทียบกับเทคโนโลยีและหน้าตาที่โดดไปไกลแล้ว ก็น่าคิดหนักอยู่เหมือนกัน

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook