เลี้ยวซ้าย ไม่ผ่านตลอด ความเข้าใจผิดที่คลาดเคลื่อน

เลี้ยวซ้าย ไม่ผ่านตลอด ความเข้าใจผิดที่คลาดเคลื่อน

เลี้ยวซ้าย ไม่ผ่านตลอด ความเข้าใจผิดที่คลาดเคลื่อน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การ ขับรถของผู้คนในสังคมทุกวันนี้หลายคนอาศัยความเคยชิน มากกว่าการทำตามกฎจราจร และสิ่งนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ของสังคม เพราะผู้ขับขี่รถมากมายเลือกที่จะขับรถตามความพอใจ และความเคยชินของตัวเองเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการจอดรถในที่ห้ามจอด การขับรถแซงซ้าย ขับช้าแต่วิ่งขวา กลับรถในที่ห้าม และอีกมากมายที่เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งผิดกฎหมายทั้งสิ้น ที่หนักหน่อยก็คือคนที่ไม่รู้กฎจราจร อาศัยความเคยชิน แล้วก็ทำไปตามความเคยชินนั้น ปัญหาอย่างหนึ่งที่คนเข้าใจผิดคือ การขับรถเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด...

 

เลี้ยวซ้ายไม่ผ่านตลอด

เป็นความเข้าใจผิดของผู้ขับขี่รถเป็นจำนวนมากที่เคยชินและคิดว่า เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด แต่สี่แยกหลายแห่ง ไม่ได้เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด ผู้ขับขี่จะเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดได้ ก็ต่อเมื่อมีป้ายจราจรบอกให้ “เลี้ยวซ้าย ผ่านตลอด” เท่านั้น หากไม่มีป้าย ต้องรอสัญญาณไฟเขียว แล้วจึงเลี้ยวซ้ายได้ และที่สำคัญ เลนเลี้ยวซ้ายหลายแห่งก็ขับตรงไปไม่ได้ด้วย

ถ้าไม่มีป้าย “เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด”

ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ..2522 ระบุไว้ว่า ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามเครื่องหมายจราจรที่ที่ติดตั้งไว้ต้องระวางโทษ ปรับตั้งแต่สองร้อยบาทถึงห้าร้อยบาท

แต่หากไม่มีป้ายบอก ให้หยุดรอสัญญาณไฟเขียว

ผู้ขับขี่ต้องหยุดรอจนกว่าจะได้สัญญาณไฟเขียวพร้อมกับรถในด้านเดียวกัน เนื่องจากตามหลักปฏิบัติในการขับรถเมื่อผู้ขับขี่มาถึงทางแยกหรือขับผ่านทาง แยกจะต้องใช้ความระมัดระวัง ซึ่งบริเวณทางแยกถือเป็นจุดที่มีรถมาจากหลายด้าน มีความเสี่ยงในเรื่องของการเกิดอุบัติเหตุจึงต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อให้ เกิดความปลอดภัยในการขับขี่

ปัจจุบันบริเวณทางแยกสำคัญๆ ของกทม. มีการติดตั้งสัญญาณไฟ ดังนั้นผู้ขับขี่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจร เท่ากับว่าต้องหยุดรอสัญญาณไฟที่ปรากฏขึ้น

คนไม่รู้ เลยทำป้ายทีหลัง

จากที่มีผู้กระทำตามความเคยชินจนรถชนกันบ่อยครั้ง เพราะไม่ทันได้ระวัง คิดว่าเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด ในแยกที่ไม่มีป้าย

จึงทำให้ตำรวจต้องทำป้ายแบบพิเศษ ที่บางทีก็เขียนด้วยลายมือว่า “เลี้ยวซ้ายให้รอสัญญาณไฟ” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่ที่เคยชิน หรืออาจจะไม่รู้ ขับรถเลี้ยวซ้ายไปในทันทีจนอาจจะทำให้เกิดอุบัตติเหตุชนกับรถที่วิ่งทางตรง ได้

วิ่งเลนซ้าย จะตรงไปต้องดูดีๆ

โดยส่วนมากแล้ว เลนซ้ายสำหรับเลี้ยวซ้ายเท่านั้น จะมีบางที่ ที่อนุญาติให้ตรงไปได้ ซึ่งก็ต้องสังเกตป้ายบอกทางสีเขียวอันใหญ่ที่อยู่ก่อนถึงสี่แยก

หรืออีกวิธีให้ดูที่ลูกศรบนพื้นถนนว่าเลี้ยวซ้ายเท่านั้น หรือตรงไปได้ ซึ่งลูกศรที่ว่านี้ก็จะบอกผู้ขับขี่ให้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ บางแยกในเลนเลี้ยวซ้ายก็จะบังคับให้เลี้ยวซ้ายเพียงอย่างเดียว ด้วยการมีแท่งปูนขนาดใหญ่ หรือกรวยวางขวางไว้ไม่ให้ตรงไป

 

ฝ่าฝืน โดนจับ

ถ้าผู้ขับขี่ตรงไปโดยที่เลนนั้นให้เลี้ยวซ้ายเพียงอย่างเดียวต้องระวางโทษ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ในข้อหาฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามสัญญาณจราจรที่ปรากฎข้างหน้า (มาตรา 22 )

หากมีมารยาทไม่ควรตรง***

หลายคนเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถประเภทนี้ คือวิ่งมาเลนซ้าย แต่มาจอดรอหรือรอเบียดเพื่อจะตรงไป กีดขวางทางรถที่จะเลี้ยวซ้าย

บ่อยครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แล้วลุกลามใหญ่โตกลายเป็นการทะเลาะวิวาท ลงไม้ลงมือกันกลางถนน ถึงขั้นยิงกันก็มีมาแล้ว

สังเกต

ขับรถต้องสังเกตให้ดี ว่าแยกนั้นเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดหรือไม่ ถ้ามีป้ายบอกคือผ่านตลอด หากไม่มีป้ายผ่านตลอดต้องรอสัญญาณไฟ เมื่อฝ่าฝืนตำรวจสามารถปรับตั้งแต่สองร้อยบาทถึงห้าร้อยบาท ในความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามเครื่องหมายจราจรที่ติดตั้งไว้ และถ้าหากว่าเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด ผู้ขับขี่ก็ต้องให้ทางรถทางเอก หรือรถทางตรงวิ่งไปก่อน โดยให้จอดรอดู เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงเลี้ยวซ้าย ถ้าไม่มีป้ายบอกให้เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด ผู้ขับขี่ต้องหยุดรอสัญญาณไฟจากรถทางด้านเดียวกัน เนื่องจากเป็นทางร่วมแยก ผู้ขับขี่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ส่วนในกรณีวิ่งเลนซ้ายแต่ต้องการจะขับตรงไป ก็ให้ดูที่ลูกศรบนถนน หรือป้ายบอกทางสีเขียว ว่าตรงไปได้หรือไม่ หากตรงไปไม่ได้ ก็ไม่ควรที่จะอยู่เลนซ้าย เพราะจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ร่วมทางคนอื่นๆ รวมทั้งจะโดนตำรวจจับปรับเอาได้


ขอบคุณเรื่องและภาพจากนิตยสาร Thaidriver

Sanook! Auto comment

 

ดีครับ เรื่องนี้ หลายคนไม่ทราบ และมันทำให้คนจำนวนมากเกิดนิสัยเสีย บางคนใช้เลนซ้ายเพื่อไปตรง หลายคนมาจอดแช่ จะเลี้ยวก็ไปไม่ได้ สรุป ทั้ง ถนนติดหมด หรือ บางคนก็เลาะซ้ายมาแทรก เอา พาถนนวุ่นวายไปอีก ยังไงการใช้รถใช้ถนนไม่ว่า เส้นทางไหน เราควรมีกฏระเบียบ เพื่อการจราจรที่คล่องตัวยิ่งขึ้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook