รีวิว Toyota Camry Esport ใหม่ กระชากความหรู สู่สปอร์ตซีดานระดับ D-Segment

รีวิว Toyota Camry Esport ใหม่ กระชากความหรู สู่สปอร์ตซีดานระดับ D-Segment

รีวิว Toyota Camry Esport ใหม่ กระชากความหรู สู่สปอร์ตซีดานระดับ D-Segment
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     ปี 2558 นี้นับได้ว่าเป็นปีทองของโตโยต้าจริงๆ เพราะมีรถใหม่เปิดตัวหลายต่อหลายรุ่น แม้แต่รถซีดานขนาดใหญ่ขายดีอย่าง 'คัมรี่' ก็ถูกเสริมทัพด้วย 'Camry Esport' ใหม่ล่าสุด เติมเต็มความปอร์ตอย่างที่คัมรี่ไม่เคยถลำลึกขนาดนี้มาก่อน


     คราวนี้ Sanook! Auto ได้มีโอกาสร่วมทดสอบ Toyota Camry Esport ใหม่ล่าสุดบนเส้นทางกรุงเทพฯ-ชะอำ ที่เราต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

     หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า 'Camry Esport' ใหม่ เป็นโฉมเดียวกับ 'คัมรี่' เวอร์ชั่นที่วางจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ซึ่งมีดีไซน์ต่างจากที่วางจำหน่ายในบ้านเราอย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้นรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ต โฉบเฉี่ยว ขณะที่เวอร์ชั่นบ้านเราถูกเน้นความหรูหรา มีระดับ อันเป็นจุดขายของคัมรี่ในตลาดเอเชีย

     อย่างไรก็ดี Camry โฉมนี้ก็เพิ่งได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในสหรัฐฯไปเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา ซึ่งก็นับเป็นการปรับโฉมย่อยระดับบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ หรือการปรับโฉมย่อยครั้งใหญ่ ที่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนกว่า 2,000 จุดรอบคัน เพื่อยกระดับให้เป็นซีดานขนาดกลาง (ตามการแบ่งเซ็กเมนต์ในสหรัฐฯ) ที่เปี่ยมไปด้วยความสปอร์ตทั้งรูปลักษณ์และการขับขี่

 

     เริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอกของ คัมรี่ เอสสปอร์ต ใหม่ มาพร้อมไฟหน้าฮาโลเจนโปรเจคเตอร์รมดำ ดีไซน์เรียวยาว โฉบเฉี่ยว (น่าเสียดายที่ไม่ใช่ไฟแบบ HID) ออกแบบรับกับกระจังหน้าสีดำลากยาวต่อเนื่องไปยังช่องดักลมขนาดใหญ่บริเวณกันชน คล้ายกับเล็กซัสในปัจจุบัน พร้อมตกแต่งด้วยคิ้วโครเมี่ยมปัดเงาพร้อมโลโก้สามห่วงบริเวณกระจังหน้า ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้จะช่วยให้สีตัวถังรถ ถูกตัดกับสีดำของด้านหน้ารถ เพิ่มความสปอร์ตแตกต่างจากโฉมบ้านเราอย่างชัดเจน

     ขณะที่ Daytime Running Light แบบ LED ถูกติดตั้งบริเวณกันชนด้านล่าง ออกแบบให้มีลักษณะโค้งรับกับช่องดักลมเช่นกัน พร้อมไฟเลี้ยวติดตั้งไว้บริเวณปลายด้านบน



     ด้านข้างถูกออกแบบให้มีเส้น 'ไหล่' ลากยาวตั้งแต่บังโคลนหน้าไปจรดกับไฟท้าย ช่วยเสริมบุคลิกให้ดูแข็งแรง พริ้วไหว กรอบหน้าต่างประตูถูกตกแต่งด้วยเส้นโครเมี่ยมโดยรอบ พร้อมไฟเลี้ยวบริเวณกระจกมองข้าง ติดตั้งหลังคามูนรูฟแบบไฟฟ้า ซึ่งเป็นคัมรี่เพียงรุ่นเดียวในตลาดขณะนี้ที่มีหลังคามูนรูฟมาให้ ตัวถังวางอยู่บนล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และยางขนาด 215/55 R17

     ไล่มาทางด้านท้ายจะเห็นไฟท้ายรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูคว่ำ ตกแต่งด้วยแถบโครเมี่ยม ติดตั้งสปอยเลอร์ขนาดย่อมๆไว้บนฝากระโปรง ขณะที่ชายกันชนด้านล่างติดตั้งดิฟฟิวเซอร์สีดำเพิ่มความสปอร์ต พร้อมปลายท่อไอเสียแบบคู่ ซึ่งใครที่เคยเรียกร้องอยากให้นำเอาคัมรี่เวอร์ชั่นสหรัฐฯ (และออสเตรเลีย) มาจำหน่าย รับรองถูกใจอย่างแน่นอน

 

     ความสปอร์ตยังถูกถ่ายทอดเข้าไปภายในห้องโดยสาร ที่ถูกตกแต่งด้วยสีดำตัดกับโครเมี่ยมปัดเงาตามชิ้นส่วนต่างๆ เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนังทูโทนสีดำ-น้ำตาล เดินตะเข็บสีขาวดูแปลกตา สามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทางฝั่งผู้ขับพร้อมระบบดันหลังไฟฟ้าและเมมโมรี่ 2 จุด และปรับแบบ 4 ทิศทางสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ขณะที่ปุ่มปรับเบาะไฟฟ้าฝั่งผู้โดยสารบริเวณข้างตัวเบาะถูกตัดออกไป เบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับพับแบบ 60:40 ได้ พร้อมที่วางแขนแบบมีที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่งมาให้

     เหนือคอนโซลหน้าถูกติดตั้งนาฬิกาแบบดิจิตอล พร้อมสัญญาณไฟเตือนรัดเข็มขัดผู้โดยสารตอนหน้า-หลัง รวม 3 ตำแหน่งมาให้ ทำให้ผู้โดยสารด้านหลังจำเป็นต้องรัดเข็มขัดนิรภัยเช่นเดียวกับที่นั่งตอนหน้า ซึ่งโตโยต้าระบุว่าเป็นการสร้างวัฒนธรรมเพื่อความปลอดภัยที่ดี ซึ่งเราก็เห็นด้วยเช่นกัน ไล่ลงมาเป็นชุดเครื่องเสียงแบบหน้าจอสัมผัส ซึ่งเราจะย้อนกลับมาเล่ารายละเอียดให้อีกทีหนึ่งครับ ไล่ลงมาอีกจะเป็นระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual-zone ปรับอุณหภูมิแยกซ้าย-ขวาแบบดิจิตอลได้อย่างอิสระ

 

     ด้านฝั่งผู้ขับติดตั้งมาตรวัดความเร็วแบบเรืองแสงสีฟ้า ดูสบายตา พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ (MID) ขนาด 4.2 นิ้ว สามารถแสดงผลการขับขี่, ระบบนำทาง, ระบบครูซคอนโทรล และการตั้งค่าต่างๆ ขณะที่พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านทรงเดียวกับรุ่น '2.0G Extremo' พร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่นสำหรับควบคุมเครื่องเสียง, จอ MID, ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และก้านควบคุมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)

     นอกจากนั้น ภายในห้องโดยสารยังถูกตกแต่งด้วยสครัฟเพลทแบบสเตนเลส และแป้นเหยียบคันเร่งแบบสปอร์ตมาให้ ไม่ต้องซื้อหามาติดตั้งเพิ่มเติมให้วุ่นวาย



     คัมรี่ เอสสปอร์ต ยังคงมาพร้อมแป้น Wireless Charger สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย โดยจำเป็นต้องใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนที่รองรับระบบ Qi ซึ่งส่วนใหญ่จะมาพร้อมดีไวซ์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และวินโดวส์โฟน ส่วนผู้ใช้ iPhone จำเป็นต้องหาซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมเพื่อให้รองรับการชาร์จแบบไร้สายนี้

 

     คัมรี่ เอสสปอร์ต ยังมีฟีเจอร์ความปลอดภัยล้ำๆ อย่าง ‘Blind Spot Monitor’ และ ‘Rear Cross Traffic Alert’ โดยอาศัยการทำงานของเซ็นเซอร์บริเวณท้ายรถ เพื่อตรวจสอบว่ามีรถอยู่ในจุดบอดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ถนัดหรือไม่ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนเลน โดยหากตรวจพบว่ามีรถอยู่ทางด้านข้าง ระบบจะแสดงสัญลักษณ์สีเหลืองซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณกระจกมองข้างทั้งสองฝั่ง สำหรับเตือนมิให้มีการเปลี่ยนเลนในขณะนั้น

     ขณะที่ระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวด้านหลังรถ จะทำงานเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง ซึ่งหากมีรถคันอื่นกำลังวิ่งผ่านด้านหลัง ระบบจะเตือนผ่านสัญญาณกระพริบบริเวณกระจกมองข้างควบคู่ไปกับเสียงเตือน ช่วยให้การถอยออกจากช่องจอดปลอดภัยมากขึ้น โดยจากการทดสอบพบว่า นอกจากรถยนต์ทั่วไปแล้ว ระบบยังสามารถเตือนได้แม้กระทั่งมอเตอร์ไซค์ที่กำลังเคลื่อนผ่านด้านท้าย ไม่ว่าจะมาจากทิศทางไหนก็ตาม ถือว่าสามารถใช้งานได้จริง และสมบูรณ์แบบ

 

     คราวนี้เรากลับมาคุยกันถึงเครื่องเสียงใน คัมรี่ เอสสปอร์ต ใหม่ ที่มี Interface ต่างจากคัมรี่ในบ้านเรา โดยเป็นเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ CD/DVD ได้ 1 แผ่นโหลดทางด้านหน้า ติดตั้งระบบนำทางรองรับ Smart G-Book ของโตโยต้า รวมถึงระบบเชื่อมต่อบลูทูธมาให้ สามารถดึงเพลงจากสมาร์ทโฟนมาเล่นผ่านเครื่องเสียงได้ พอร์ต USB/AUX ถูกติดตั้งไว้บนฟร้อนท์ ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 6 ตำแหน่งรอบคัน รวมถึงยังใช้เป็นกล้องมองหลังขณะถอยได้

 

     จุดเด่นของเครื่องเสียงชุดนี้อยู่ที่ระบบสั่งงานด้วยท่าทาง ผ่านเซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหวที่ฝังอยู่บริเวณตัวฟร้อนท์ สามารถสั่งงานได้หลากหลายผ่านการกวาดมือไปยังทิศทางต่างๆ เพื่อค้นหาสถานีวิทยุ, เปลี่ยนเพลง, เลื่อนแผนที่, รับสายโทรเข้า เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่สะดวกสบายขึ้น เนื่องจากการกดปุ่มต่างๆบนหน้าจอแบบสัมผัสนั้น จำเป็นต้องละสายตาจากถนนและใช้สมาธิอยู่พอสมควร ดังนั้นการใช้ท่าทางมือควบคุมจึงช่วยลดการละสายตาจากถนนได้.....

     แต่!!! ฟังก์ชั่นส่วนใหญ่ก็สามารถควบคุมผ่านปุ่มบนพวงมาลัยได้อยู่แล้ว ครั้นคนนั่งคิดจะเปลี่ยนคลื่นวิทยุ หากใช้วิธีกดหน้าจอไปเลยก็ดูจะง่ายเสียกว่าการต้องโบกมือไปมาอยู่ดี ถึงอย่างไรก็เถอะ มีมาให้แล้วไม่ได้ใช้ ก็ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี จริงมั๊ย...

 

     ด้านขุมพลังของ Camry Esport ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง DOHC Dual VVT-I  รหัส 1AR-FE ความจุ 2.5 ลิตร ซึ่งเป็นบล็อกเดียวกับที่วางอยู่ในรุ่น 2.5G ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตัน-เมตร ที่ 4,100 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift

     ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบอิสระดูอัลลิงค์สตรัท โดยความพิเศษของรุ่น Esport คือการเปลี่ยนสปริงด้านหน้าและหลังให้มีความแข็งขึ้นราว 4 เปอร์เซ็นต์ ช่วยเพิ่มความหนึบมากขึ้นกว่ารุ่นปกติ

 

     ส่วนระบบเบรกด้านหน้าเป็นแบบดิสก์เบรกขนาด 16 นิ้ว พร้อมครีบระบายความร้อน ดิสก์เบรกด้านหลังใช้ขนาด 15 นิ้ว พร้อมระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเพิ่มแรงเบรก BA

     ระบบความปลอดภัยติดตั้งถุงลมนิรภัย 7 จุด ได้แก่ คู่หน้า, ด้านข้าง, ม่านถุงลม และถุงลมลดอาการบาดเจ็บของหัวเข่าฝั่งผู้ขับ, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA, โครงสร้างเบาะนั่งลดอาการบาดเจ็บกระดูกต้นคอ WIL รวมไปถึงระบบอื่นๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้

 

     เอาล่ะครับ หลังจากแนะนำตัวรถกันไปพอสมควร เรามาเริ่มทดสอบ Toyota Camry Esport คันนี้กันเลยดีกว่า

     ก้าวเข้ามายังห้องโดยสารของ Camry Esport ยังคงให้ความโอ่โถง โปร่งสบาย เช่นเดียวกับรุ่นปกติ ตัวเบาะนั่งมีขนาดใหญ่ ให้ความโอบกระชับกำลังดี ตัวเบาะถูกออกแบบให้นั่งสบายและผ่อนคลาย พวงมาลัยสามารถปรับได้ 4 ทิศทาง ช่วยให้หาตำแหน่งท่านั่งที่เหมาะสมได้ไม่ยาก มีการใช้วัสดุอ่อนนุ่มในจุดที่ต้องสัมผัสกับร่างกายอยู่บ่อยๆ  ให้ความรู้สึกหรูหราอย่างเห็นได้ชัด

 

     เราเริ่มออกสตาร์ทออกจากโรงแรมดิโอคุระเพรสทีจ ขับผ่านไปทางถนนวิทยุ เพื่อไปขึ้นทางด่วนบริเวณถนนพระราม 4 สิ่งที่สัมผัสได้คือช่วงล่างที่หนึบขึ้นอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ถึงกับแข็งกระด้าง เพียงแต่ช่วงที่ขับผ่านผิวทางขรุขระ จะสามารถรับรู้แรงสะเทือนได้มากกว่ารุ่นปกติ แต่อย่างไรก็ดี การเก็บเสียงจากช่วงล่างยังถือว่าทำได้เยี่ยม เสียงจากแรงสะเทือนขณะขับผ่านหลุมแอ่งเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างน้อย

     ส่วนอัตราเร่งของ Camry Esport นั้น ถือว่าไม่เลวทีเดียวสำหรับรถที่มีตัวถังขนาดใหญ่ แรงบิดมีให้เห็นตั้งแต่รอบต่ำ ประกอบกับเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีดลูกใหม่ ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนุ่มนวลและรวดเร็ว ช่วยให้สามารถพุ่งทะยานไปแตะความเร็ว 100 กม./ชม.ได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องเค้นรอบเครื่องกันให้เหนื่อย

     โดยในการเดินทางบนความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ 1,800 รอบต่อนาที หากขยับความเร็วมาอยู่ที่ 120 กม./ชม. ก็จะใช้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 2,200 รอบต่อนาที (อ้างอิงจากตัวเลขที่แสดงบนมาตรวัด)



     เมื่อเราแล่นมาถึงถนนพระราม 2 ช่วงจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งพอจะเอื้ออำนวยให้ทำความเร็วได้นั้น เราได้เห็นความดีงามของช่วงล่างที่ได้รับการปรับให้แข็งขึ้นอย่างชัดเจน ที่ความเร็วประมาณ 120 กม./ชม. ช่วงล่างยังคงให้ความเสถียรและมั่นคงไล่ไปจนถึงความเร็วประมาณ 160 กม./ชม. ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกถึงอาการโยนให้เห็นบ้างเล็กน้อยในจังหวะที่ผิวถนนไม่เรียบหรือเปลี่ยนเลน แต่หากพื้นถนนยังมีสภาพดี ก็สามารถทำความเร็วแตะระดับ 180 กม./ชม. ได้อย่างไม่น่ากังวลอะไร เรียกว่าช่วงล่างของ Esport ถูกปรับปรุงให้เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ความเร็วสูงบ่อยๆ เป็นอย่างดี

     อย่างไรก็ดี เราทำความเร็วระดับนี้เพียงระยะทางสั้นๆเท่านั้น ทั้งยังใช้ความระมัดระวังและคำนึงถึงสภาพจราจรเป็นอย่างดี เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลให้คุณผู้อ่านได้รับทราบกัน ดังนั้น เราจึงขอแนะนำให้คุณผู้อ่านใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด เพื่อความปลอดภัยของคุณผู้อ่านและคนรอบข้างครับ



     ส่วนการเก็บเสียงยังคงทำได้ดี ทั้งเสียงจากพื้นถนนและเสียงจากเครื่องยนต์ จะมีก็เพียงเสียงลมปะทะด้านข้างที่จะเริ่มได้ยินเบาๆ ตั้งแต่ความเร็ว 110 กม./ชม.เป็นต้นไป

     และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งความสะดวกสบายที่ได้จากห้องโดยสารของคัมรี่ เอสสปอร์ตคันนี้ ยังชวนให้เราอยากมุ่งหน้าเดินทางต่อด้วยซ้ำไป

 

     สรุป Toyota Camry Esport ยังคงเน้นกลุ่มลูกค้าระดับผู้บริหารเป็นหลัก แต่มุ่งเป้าไปยังผู้บริหารไฟแรง ชื่นชอบความสปอร์ตอยู่พอประมาณ แต่ยังอยากได้ความหรูหรา สะดวกสบาย จุดเปลี่ยนสำคัญนอกจากรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวขึ้นแล้ว ยังรวมไปถึงช่วงล่างที่หนึบขึ้น เหมาะสำหรับการเดินทางไกลหรือบนทางด่วน เพิ่มความมั่นใจขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อต้องใช้ความเร็วสูง แต่การขับขี่ในเมืองมีอาการกระด้างให้เห็นบ้างตามสภาพถนน กำลังเครื่องยนต์เหลือเฟือ แรงสั่งได้ อ็อพชั่นภายในถูกตัดออกไปบ้าง แต่ก็แลกมาด้วยข้อดีอย่างที่กล่าวไปข้างต้น

     ราคาจำหน่าย Toyota Camry Esport 2.5 ลิตร อยู่ที่ 1,639,000 บาท

 

     ขอขอบคุณผู้บริหารและฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ทุกท่าน ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้

 

 

อัลบั้มภาพ 53 ภาพ

อัลบั้มภาพ 53 ภาพ ของ รีวิว Toyota Camry Esport ใหม่ กระชากความหรู สู่สปอร์ตซีดานระดับ D-Segment

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook