รีวิว BMW 330e M Sport ปลั๊กอินไฮบริดพลังแรงเหนือคาดในราคาคุ้มค่า

รีวิว BMW 330e M Sport ปลั๊กอินไฮบริดพลังแรงเหนือคาดในราคาคุ้มค่า

รีวิว BMW 330e M Sport ปลั๊กอินไฮบริดพลังแรงเหนือคาดในราคาคุ้มค่า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     เทรนด์ของตลาดรถยนต์ในปัจจุบันนี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่เครื่องยนต์ดีเซลพลังงานสะอาด เครื่องยนต์เบนซินพ่วงเทอร์โบ ไปจนถึงรถยนต์ไฮบริดและรถพลังงานไฟฟ้า ที่จะมาตอบโจทย์ปัญหาน้ำมันที่กำลังร่อยหรอลงไปทุกที

     บีเอ็มดับเบิ้ลยู เป็นค่ายรถยนต์หรูอีกค่ายหนึ่งที่ถือเป็นผู้นำกระแสรถยนต์ที่ใช้พลังงานรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบที่หลายคนประทับใจกันมาแล้ว หรือรถสปอร์ตพลังงานไฮบริดดีไซน์ล้ำอย่าง i8 ก็ช่วยให้บีเอ็มฯ กลายเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์หรูของโลกได้อย่างไม่น้อยหน้าใคร

 

     ล่าสุด เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ซึ่งเป็นดีลเลอร์รถยนต์หรูค่ายใบพัด ซึ่งตั้งอยู่บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ได้เชิญทีมงาน Sanook! Auto เข้าร่วมทดสอบรถคอมแพ็คหรูรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง 'BMW 330e M Sport' ซึ่งเป็นครั้งแรกของบีเอ็มฯ ที่นำระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไอบริดมาใส่ไว้ในรถยนต์กลุ่มนี้ ด้วยราคาจำหน่ายที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้บริหารหนุ่มสาวที่อยากได้รถหรู แรง แต่สามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

     ปัจจุบันบีเอ็มดับเบิ้ลยูในตระกูลซีรี่ย์ 3 ยังคงมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ขณะที่ 330e M Sport ถูกวางให้เป็นรุ่นท็อปสุดในตัวถังแบบซีดาน แทนที่ 328i เดิมที่ถูกตัดออกไปในโฉม LCI นี้

 

     ดีไซน์ภายนอกของ 330e M Sport ถือเป็นโฉมที่ผ่านการปรับไมเนอร์เชนจ์ (LCI) แล้ว มาพร้อมไฟหน้าแบบ LED ควบคู่ไปกับไฟ Daytime Running Light แบบ LED สไตล์เอกลักษณ์ของบีเอ็มฯ ด้านท้ายมาพรัอมกับไฟแบบ LED ที่ถูกออกแบบเส้นสายภายในใหม่เช่นกัน

     330e มาพร้อมชุดแต่งรอบคันแบบ M Sport ที่เรียกว่าหล่อเสร็จสรรพ ไม่ว่าจะเป็นกันชนหน้า กันชนหลัง ที่ตกแต่งให้ดูสปอร์ตมากขึ้น ติดตั้งล้ออัลลอย M ลาย 5 ก้าน Double-spoke ขนาด 18 นิ้ว สีเทา Ferric Grey ดีไซน์ลงตัวกับชุดแต่ง

     ล้อคู่หน้าจะมาพร้อมยางขนาด 225/45 R18 ขณะที่ล้อคู่หลังมาพร้อมยางขนาดใหญ่กว่าอยู่ที่ 255/40 R18 ซึ่งเป็นยางแบบรันแฟลตที่สามารถวิ่งต่อได้เป็นระยะทางประมาณหนึ่งเมื่อมีการรั่วไหลของลมยาง

 

     ห้องโดยสารภายในถูกออกแบบอย่างหรูหรา แต่ยังคงความสปอร์ตตามสไตล์บีเอ็มฯ ติดตั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง Dakota ตัวเบาะคู่หน้าสามารถปรับไฟฟ้าได้ ฝั่งคนขับยังมีระบบเมมโมรี่ที่ทำงานคู่กับกระจกมองข้างมาให้

     ห้องโดยสารในรุ่น 330e M Sport ยังถูกตกแต่งแผงคอนโซลด้วยอะลูมิเนี่ยมลาย Hexagon ตัดด้วยแผงสีดำเงา เหนือแผงคอนโซลติดตั้งหน้าจอขนาด 8.8 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูง พร้อมฮาร์ดไดร์ฟขนาด 20 กิกะไบต์ ที่สามารถเก็บไฟล์เพลงไว้ฟังภายในรถได้ สามารถควบคุมผ่านปุ่ม iDrive บริเวณใกล้กับหัวเกียร์ ซึ่งรุ่นนี้สามารถรองรับการเขียนด้วยลายมือได้แล้ว ไม่ต้องคอยหมุนหาตัวอักษรเหมือนแต่ก่อน

 

     เครื่องเสียงชุดนี้มาพร้อมแผนที่นำทางรุ่น Professional ที่สามารถแสดงภาพตัวอาคารแบบ 3 มิติได้ รวมถึงยังเป็นระบบนำทางที่ใช้งานง่ายเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ติดตั้งพอร์ต USB และ AUX มาให้เสร็จสรรพ

     ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ (Climate Control) สามารถแยกปรับอุณหภูมิได้ 2 ฝั่ง ขณะที่หน้าต่างประตูคู่หลังยังมีม่านบังแดดในตัวให้ด้วย

     330e M Sport ติดตั้งพวงมาลัย M แบบ 3 ด้านดีไซน์เรียวเล็กหุ้มด้วยหนังแท้ พร้อมปุ่มควบคุมเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) ติดตั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งตัวพวงมาลัยออกแบบให้กระชับมือ และให้อารมณ์สปอร์ตในทุกครั้งที่สัมผัส เหนือศีรษะเป็นหลังคาภายในสี Anthracite ดูเข้มๆ ซึ่งมีเฉพาะในรุ่น M Sport เท่านั้น

 

     หัวเกียร์ของ 330e M Sport เป็นแบบจอยสติ๊ก โดยมาพร้อมปุ่ม ‘eDrive’ ที่มีเฉพาะในรุ่นปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งปุ่มดังกล่าวมีหน้าในสำหรับปรับโหมดการขับขี่แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่

  • AUTO eDRIVE เป็นโหมดไฮบริดเต็มรูปแบบที่มีการทำงานควบคู่กันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า
  • MAX eDRIVE เป็นโหมดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการทำงานของเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง 
  • SAVE BATTERY เป็นโหมดขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว ควบคู่ไปกับการชาร์จแบตเตอรี่

     จุดเด่นของ 330e M Sport ก็คงหนีไม่พ้นขุมพลังแบบปลั๊กอินไฮบริด ที่สามารถรองรับการชาร์จไฟภายนอกได้ด้วย โดยรถคันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ BMW TwinPower Turbo ความจุ 2.0 ลิตร ซึ่งเป็นบล็อกเดียวกับรุ่น 320i ในปัจจุบัน แต่พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป ทำให้ได้กำลังรวมสูงสุดถึง 252 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร จากที่เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวจะให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 290 นิวตัน-เมตร เรียกว่าแรงกว่ากันเห็นๆ

     ติดตั้งระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด ที่ช่วยให้การส่งกำลังเป็นไปอย่างต่อเนื่องและลื่นไหล

 

     BMW 330e M Sport ถูกเคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ไว้ที่ 6.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กม./ชม. เรียกว่าอยู่ในระดับน้องๆ ActiveHybrid 3 ที่ทำอัตราเร่งได้ใน 5.3 วินาที เฉือนกันไม่ถึง 1 วินาทีด้วยซ้ำไป ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวสำหรับ 330e M Sport คันนี้

     ด้านระบบความปลอดภัยของ 330e M Sport ถือว่าครบครันตามมาตรฐานเยอรมัน ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมด้านข้าง ม่านถุงลมป้องกันศีรษะ ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ระบบเบรก ABS และเสริมแรงเบรก เป็นต้น

     เส้นทางทดสอบในครั้งนี้ อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เนื่องจากมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ ปานเทวี รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.สามพราน คิดเป็นระยะทางก็ราว 30 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งเรียกได้ว่าแสนสั้นยิ่งนักเมื่อเทียบกับระดับความฟินที่ได้จากการขับ 330e M Sport คันนี้!

 

     เราเดินทางออกจากโชว์รูม Performance Motors สาขาจรัญสนิทวงศ์ มุ่งหน้าออกไปทางถนนบรมราชชนนี สิ่งที่สัมผัสได้คือช่วงล่างที่หนึบหนับมากขึ้นกว่ารุ่น 320i ธรรมดาที่เราเคยสัมผัส ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยางที่มีแก้มขนาดเล็ก ช่วยลดอาการโยนตัวในการขับขี่ได้ดีขึ้น แต่ก็แลกมาให้อาการตึงตังให้เห็นบ้างขณะขับขี่บนถนนขรุขระ แต่โดยรวมถือว่าเก็บอาการได้ดี ไม่ได้แข็งจนน่ารำคาญแต่อย่างใด

     เมื่อเราเคลื่อนตัวมาถึงถนนสายปิ่นเกล้า-นครชัยศรี การจราจรยามเช้าก็เริ่มเปิดโล่งมากขึ้น เราลองกดปุ่ม eDrive เพื่อขับขี่ในโหมด MAX eDRIVE ซึ่งจะใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งอัตราเร่งที่ได้เรียกว่าเหลือเฟือแล้วสำหรับการใช้งานจริง ขณะที่เครื่องยนต์ไม่มีการผลาญน้ำมันแม้แต่หยดเดียว โดยรถคันนี้เคลมระยะทางการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้ไกลราว 40 กิโลเมตร ซึ่งการใช้งานจริงหากเหยียบคันเร่งแบบปกติ ไม่กระโชกโฮกฮากจนเกินไปนัก ก็น่าจะได้อยู่ราว 30-35 กิโลเมตรสบายๆ

     แต่ในยามฉุกเฉินที่ต้องการอัตราเร่งมากกว่าปกตินั้น หากกดคันเร่งลงไปจนจมมิด เครื่องยนต์จะเข้ามาเสริมการทำงานในทันที ซึ่งจังหวะตัดต่อการทำงานของเครื่องยนต์นั้น เรียกได้ว่าฉับไวทันใจ ไร้รอยต่อ แทบไม่มีอาการกระตุกให้เห็นเลย จะมีก็เสียงเครื่องยนต์ที่ดังคำรามขึ้นมา และอัตราเร่งชนิดหลังติดเบาะ ช่วยให้หลีกหนีสถานการณ์คับขันได้อย่างรวดเร็ว

 

     การขับขี่ในโหมด MAX eDRIVE นั้น สามารถเร่งความเร็วได้จนถึง 120 กม./ชม. โดยไม่มีเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย เรียกว่าเหลือเฟือสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว

     เสร็จจากแวะพักรับประทานอาหาร จิบกาแฟในบรรยากาศริมแม่น้ำนครชัยศรีกันเป็นที่เรียบร้อย ผู้เขียนพบว่าปริมาณแบตเตอรี่ยังคงเหลือเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ จึงขอลองทดสอบโหมด AUTO eDRIVE ที่เครื่องยนต์จะทำงานแบบไฮบริดเต็มรูปแบบดูบ้าง

     ผลลัพท์ที่ได้คือกำลังเครื่องยนต์ที่ไหลมาเทมาอย่างมหาศาล ช่วยให้ตัวรถพุ่งทะยานแตะความเร็ว 120 กม./ชม. ได้อย่างรวดเร็วทันใจ มันแรงเสียจนเราแอบคิดในใจว่ารถขนาดคอมแพ็คอย่างซีรี่ย์ 3 ในราคาราว 3 ล้านบาทต้นๆนั้น จะต้องแรงอะไรเสียขนาดนี้

 

     จริงอยู่ว่ารถบีเอ็มฯ ตระกูลซีรี่ย์ 3 ถือเป็นรถในฝันของใครหลายคนที่ทั้งชีวิตอาจได้แต่มองตาปริบๆ แต่อีกมุมหนึ่งมันก็คือรุ่นระดับเริ่มต้นของบีเอ็ม ที่คนมีเงินระดับหนึ่งก็สามารถซื้อหามาครอบครองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ที่อยากซื้อรถให้ลูกที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย หรือสาวๆที่ตั้งใจจะซื้อเป็นรถคันแรกในชีวิต ก็อยากให้เพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่หน่อยก็แล้วกัน

     แต่ถ้ามั่นใจว่าตัวเองจะสามารถควบคุมอารมณ์ในการขับรถคันนี้ด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ขับเรื่อยๆไปตามสภาพการจราจรแล้วล่ะก็ 330e M Sport ก็ถือเป็นรถที่ให้ความประหยัดได้อย่างน่าประทับใจ

     ระยะทางขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าราว 30-35 กิโลเมตร ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการขับไปทำงานของใครหลายคน ขากลับถ้ามีแวะเที่ยวกินข้าวช็อปปิ้ง ก็อาจต้องใช้น้ำมันควบคู่ไปด้วย เมื่อกลับถึงบ้านก็ชาร์จไฟทิ้งไว้ ซึ่งกินเวลาราว 3 เพื่อให้เต็มประจุ หากคิดค่าไฟตามเรทบ้านอยู่อาศัยทั่วไป ก็จะตกอยู่ราว 40 บาทเท่านั้น หากสามารถขับไปทำงานด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ก็นับว่าถูกกว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าด้วยซ้ำไป

     หากต้องการให้ชาร์จไฟได้รวดเร็วขึ้น ก็สามารถซื้ออุปกรณ์ชาร์จไฟ BMW iWallbox Pure ที่ย่นระยะเวลาชาร์จไฟเหลือเพียง 2 ชั่วโมง 12 นาที เป็นอุปกรณ์เสริมไว้ที่บ้านได้

 

     สรุป BMW 330e M Sport ถือเป็นรถหรูระดับคอมแพ็คที่มีค่าตัวไม่เกินเอื้อม แต่ได้สมรรถนะจัดจ้าน เหนือชั้นกว่าเครื่องยนต์ดีเซลใน 320d อย่างไม่มีข้อกังขา แถมยังได้เรื่องความประหยัด เพราะสามารถขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ด้วยระยะทางที่ใช้งานได้จริง ต่างจากรถไฮบริดทั่วไปที่มีแบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่ามาก จึงเป็นข้อได้เปรียบของระบบปลั๊กอินไฮบริดเช่นนี้ หากใครกำลังมองหารถยนต์ระดับ 2 ล้านปลายๆ ถึง 3 ล้านบาทอยู่แล้วล่ะก็ รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

     ราคาจำหน่าย BMW 330e M Sport อยู่ที่ 3,099,000 บาท

 


     ขอขอบคุณคณะผู้บริหาร เฟอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) และทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้

 


 

 

อัลบั้มภาพ 19 ภาพ

อัลบั้มภาพ 19 ภาพ ของ รีวิว BMW 330e M Sport ปลั๊กอินไฮบริดพลังแรงเหนือคาดในราคาคุ้มค่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook