5 ข้อเสียรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่คุณคิดไม่ถึงมาก่อน

5 ข้อเสียรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่คุณคิดไม่ถึงมาก่อน

5 ข้อเสียรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่คุณคิดไม่ถึงมาก่อน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     เทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (EV) กำลังเป็นที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในปัจจุบัน เพราะไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเงินเติมน้ำมันในกระเป๋าเท่านั้น แต่ยังให้สมรรถนะดียิ่งกว่ารถน้ำมันทั่วไปเสียอีก

     แต่ความจริงแล้ว รถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle นั้น ยังมีข้อจำกัดอีกหลายอย่างที่คนไม่เคยใช้คาดไม่ถึง ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมรถยนต์ประเภทนี้ จึงยังไม่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาพตลาดในประเทศไทย เราลองไปกันว่ามีอะไรบ้าง?

 

1.สถานีชาร์จต้องพร้อม

     ทุกวันนี้เราสามารถใช้รถกันอย่างสบายใจ เพราะมีปั๊มน้ำมันสารพัดยี่ห้ออยู่ทั่วทุกหนแห่ง ขณะที่รถพลังงานไฟฟ้า ก็จำเป็นต้องมีสถานีชาร์จไฟอย่างเพียงพอเช่นกัน จึงจะสามารถขับไปไหนต่อไหนได้อย่างสบายใจ

     จริงอยู่ที่ทุกวันนี้เริ่มมีจุดชาร์จไฟติดตั้งตามห้างสรรพสินค้าหรืออาคารสำนักงานบ้างแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้งานได้กับรถทุกรุ่น เนื่องจากรถแต่ละรุ่นก็มีหัวชาร์จที่ต่างกันไป ดังนั้น การทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตจึงต้องมั่นใจว่ามีสถานีชาร์จไฟครอบคลุมทั่วประเทศ ลูกค้าที่ซื้อจะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลัง

 

2.ใช้เวลาชาร์จนาน

     รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จะมาพร้อมแบตเตอรี่ที่มีประจุไฟมากกว่ารถไฮบริดทั่วไปหลายเท่าตัว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เวลาชาร์จไฟเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เราลองยกตัวอย่างรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด BMW X5 xDrive 40e พบว่า หากใช้ปลั๊กชาร์จไฟบ้านขนาด 220 โวลต์ทั่วไป ต้องใช้เวลาชาร์จนานถึง 3 ชั่วโมง 48 นาที จนกว่าแบตเตอรี่จะเต็ม ซึ่งตัวรถจะสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้เป็นระยะทางราว 30 กิโลเมตร

     คราวนี้ลองมาดูรถไฟฟ้าชื่อดังอย่าง Tesla Model S รุ่น 90D ที่สามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 486 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หากใช้ที่ชาร์จติดผนังขนาด 48 แอมป์ ที่สามารถติดตั้งได้ตามบ้านเรือนทั่วไปแล้วล่ะก็ จะต้องใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง 42 นาที เลยทีเดียวกว่าแบตเตอรี่จะเต็ม

     นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เทสล่าต้องติดตั้งสถานีชาร์จด่วนที่เรียกว่า Supercharger ไว้ตามจุดสำคัญทั่วสหรัฐฯและยุโรปบางประเทศ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาชาร์จลงเหลือ 1 ชั่วโมง 15 นาทีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี ระบบซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ไม่สามารถนำมาติดตั้งกับบ้านเรือนทั่วไปได้

 

3.ระยะทางวิ่งจำกัด

     แน่นอนว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีให้เลือกหลายรุ่นหลายราคา และใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นเจ้าของ Tesla Model S ได้ ดังนั้น หากมองรุ่นที่มีราคาย่อมเยาอย่าง Nissan Leaf ก็จะมีระยะทางในการขับขี่เพียง 250 กิโลเมตรเท่านั้น

     หรือหากเป็น Chevrolet Bolt EV โฉมใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในสหรัฐฯ ก็สามารถวิ่งได้เป็นระยะทางราว 320 กิโลเมตร หากคำนวณระยะทางไปกลับ กรุงเทพฯ-พัทยา อยู่ที่ราว 280 กิโลเมตร ก็ยังถือว่าฉิวเฉียด เพราะการใช้งานจริงจำเป็นต้องใช้ความเร็วสูงกว่าที่ผู้ผลิตได้ทดสอบไว้ นั่นยังไม่รวมสภาพอากาศที่ร้อนตับแตกในบ้านเรา ที่ทำให้ระบบแอร์ใช้พลังงานไฟมากกว่าประเทศที่มีอากาศเย็นอีกด้วย

 

Nissan Leaf

 

4.ราคาสูง

     แม้เราจะบอกว่า Nissan Leaf เป็นรถที่มีราคาย่อมเยา แต่ราคาเริ่มต้นในสหรัฐฯ ก็คิดเป็นเงินไทยก็สูงถึง 1 ล้านบาท (รุ่น S) ซึ่งมาพร้อมแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางวิ่งเพียง 135 กิโลเมตรเท่านั้น แต่หากเป็น Tesla Model S ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันล่ะก็ จะมีราคาเริ่มต้นสูงถึง 2.3 ล้านบาท (รุ่น Model S 60) แลกกับระยะทางวิ่งเพียง 337 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง นี่ยังไม่รวมภาษีนำเข้ารถยนต์มหาโหดอีกนะ!

 

5.ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนเสมอไป

     แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นทางเลือกในการประหยัดค่าใช้จ่ายที่ดี แต่ก็ใช้ว่าจะเหมาะสำหรับทุกคน ด้วยเหตุผลและข้อจำกัดอย่างที่กล่าวไปทั้งหมดนั้น หากใครจำเป็นต้องใช้รถเป็นเครื่องมือทำมาหากิน เช่น เซลส์ที่ต้องเดินสายต่างจังหวัดเป็นประจำ หรือแพทย์ที่้จำเป็นต้องพร้อมเดินทางไปโรงพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ก็ดูเหมือนว่าข้อจำกัดเหล่านี้ จะดูไม่เอื้ออำนวยในการใช้งานจริงเท่าใดนัก เพราะพวกเขาเหล่านี้จำเป็นต้องใช้รถแทบตลอดเวลา และมีความรับผิดชอบหลายสิ่งเกินกว่าจะต้องมานั่งคอยชาร์จไฟรถตัวเองเป็นประจำทุกวัน

     อย่างไรก็ดี เราไม่ปฏิเสธว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะกลายเป็นพลังงานสำคัญแทนที่น้ำมัน ซึ่งนับวันยิ่งลดลงเรื่อยๆ เพียงแต่คงต้องรอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นเอง

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook