Toyota PRIUS PHV ใหม่ สามารถวิ่งได้ไกลถึง 68.2 km ด้วยพลังงานไฟฟ้า เริ่มต้น 3.26 ล้านเยน

     บริษัท Toyota Motor ได้เริ่มออกวางจำหน่าย PRIUS PHV Full Model Change ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

     PRIUS PHV ใหม่ได้มีการติดตั้งแบตเตอรี่ High Capacity Lithium-ion และระบบ Plug-in Hybrid System ที่มีประสิทธิภาพสูง จึงทำให้มีสมรรถนะที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด และทำให้สามารถทำระยะทางการวิ่งด้วย EV mode ได้ไกลถึง 68 km และความเร็วสูงสุดที่ 135 km/h ซึ่งเท่ากับราวสองเท่าจากรุ่นก่อนหน้า ถือเป็นการเพิ่มระยะของการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว อีกทั้งใช้เครื่องยนต์สมรรถนะสูงขนาด 1.8 ลิตร ที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน JC08 Mode อยู่ที่ 37.2 km/l

     การชาร์จไฟด้วยแรงดัน 100V / 6A เต็มความจุ ใช้เวลาประมาณ 14 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นด้วยแรงดัน 200V / 16A จะใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง 20 นาที และถ้าเป็นการชาร์ตแบบด่วน (80%) จะใช้เวลาแค่เพียง 20 นาทีเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกของโลกกับระบบชาร์ตไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถทำให้วิ่งได้สูงสุดประมาณ 6.1 km/วัน (เฉลี่ยประมาณ 2.9 km/วัน)

     โดยในทุกรุ่นที่ผ่านมาจะมีการติดตั้งฟังก์ชั่น External Power Supply Function แต่ในครั้งนี้ได้มีการเพิ่มฟังก์ชั่นที่สามารถใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกได้ทั้งๆที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานกับโหมด EV Power Supply Mode และถ้าเครื่องยนต์ทำงานก็จะเป็นโหมด HV Power Supply Mode ซึ่งให้กำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 1,500W กรณีถ้าเชื้อเพลิงเต็มถังสามารถใช้งานได้นานต่อเนื่องสูงถึง 2 วันเลยทีเดียว

     สำหรับภายนอกนั้น ในส่วนของกระจังหน้าขนาดใหญ่ได้มีการประยุกต์ใช้เนซินและอะคิริกโปร่งใส พร้อมกับไฟหน้าแบบ LED ข้างละ 4 ดวง ทำให้มีความรู้สึกที่ก้าวล้ำนำสมัย สำหรับไฟหน้าและไฟท้ายที่มีรูปทรงและแสงสว่างที่เป็นเอกลักษณ์จึงทำให้รถคันข้างหน้าหรือคันที่สวนทางมาสังเหตเห็นได้ชัด โดยใช้เทคโนโลยีไฟส่องสว่างแบบ Adaptive High Beam พร้อมกับหลอด LED ขนาดเล็กๆจำนวน 16 หลอด และการออกแบบไฟท้ายที่มีลักษณะโดดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยลักษณะแบบบวมๆ 2 ชั้น ที่เรียกว่า Double Bubble Window

     ต่อมาในส่วนของภายใน เริ่มต้นด้วยระบบ Infotainment System เป็นครั้งแรกของ Toyota กับการใช้จอแสดงผลข้อมูลต่างๆ DCM (Data Communication Module) และระบบ Navigation T-Connect SD  บนหน้าจอขนาดใหญ่ 11.6 นิ้ว ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน (ยกเว้นในรุ่น S) โดยในการใช้งานครั้งแรกของระบบ T-Connect DCM Package นั้นจะต้องมีการลงทะเบียนและมีอายุการใช้งานฟรี 3 ปี

     อีกทั้งยังมีระบบแนะนำการขับขี่ (E-care) ที่จะส่งข้อมูลต่างๆของรถยนต์ไปยัง Operator เพื่อที่จะให้ข้อมูลแนะนำต่างๆ อาทิเช่น การค้นหาสถานีเชื้อเพลิง สถานะการชาร์ตไฟฟ้า การควบคุมระบบแอร์ โดยผ่านการควบคุมจาก Application “Pocket PHV” ใน Smartphone ได้อย่างสะดวกสบาย

     ส่วนในด้านของความปลอดภัย มาพร้อมกับแพคเกจ “Toyota Safety Sense” ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานกับทุกรุ่นย่อย

     สนนราคาเริ่มต้น 3,261,600 เยน ถึง 4,222,800 เยน โดยมีเป้าในการจำหน่ายต่อเดือนที่ 2,500 คัน

 

     บทความจาก Response
     แปลโดย TUM GARAGE