รีวิว Ford Everest 3.2 Titanium+ 2018 ใหม่ ซิ่งตะลุยฝุ่นฝ่าขุนเขาที่ลาวใต้

รีวิว Ford Everest 3.2 Titanium+ 2018 ใหม่ ซิ่งตะลุยฝุ่นฝ่าขุนเขาที่ลาวใต้

รีวิว Ford Everest 3.2 Titanium+ 2018 ใหม่ ซิ่งตะลุยฝุ่นฝ่าขุนเขาที่ลาวใต้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     "มนต์เสน่ห์แห่งลาวใต้" เป็นคำที่ใครหลายคนคงเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง ขณะที่หลายคนคงได้ไปสัมผัสกันมาแล้ว ครั้งนี้ ฟอร์ด ประเทศไทย ได้จัดทริปนำสื่อมวลชนไปสัมผัสดินแดนต้องมนต์แห่งนี้ ด้วยพาหนะคู่ใจอย่าง Ford Everest 3.2 Titanium+ 2018 ใหม่ ที่มีสมรรถนะแบบเหลือๆ ช่วยให้เราเดินทางได้อย่างราบรื่นและสนุกสนานตลอดทั้งทริป

     แม้ว่า Ford Everest โฉมปัจจุบันจะถูกทำตลาดมานานพอสมควรแล้ว แต่ก็มีการปรับปรุงเพิ่มอ็อพชั่นใหม่ๆ เข้าไปอยู่เรื่อยๆ จนเราแทบจะมองข้ามความเป็นรถพีพีวีที่ใช้พื้นฐานเดียวกับกระบะไปเลย เพราะมันอัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์มากมายที่หาไม่ได้จากรถในระดับราคาใกล้เคียงกัน ประกอบกับสมรรถนะจากเครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตร ที่มีกำลังให้เค้นอย่างต่อเนื่องและเหลือเฟือ

104

     สำหรับ Ford Everest 3.2 Titanium+ 2018 เป็นรุ่นท็อปสุดที่วางจำหน่ายในบ้านเราขณะนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล Duratorq TDCi VG Turbo แบบ 5 สูบ ขนาด 3.2 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร ระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบอัตโนมัติ พร้อมระบบ Terrain Management (i4WD with Terrain Management System – i4WD TMS) ซึ่งมีให้เลือกตามสภาพการขับขี่ 4 โหมด คือ ทางเรียบ, พื้นทราย, โคลน/หิมะ และปีนป่ายหินขรุขระ ซึ่งจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวนั้นๆ และยังสามารถแสดงสัดส่วนการกระจายแรงบิดของแต่ละล้อ รวมถึงองศาความเอียงของตัวรถได้

     รถคันนี้ยังถูกติดตั้งระบบล็อคเฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential (LRD) ช่วยให้ล้อคู่หลังหมุนด้วยความเร็วเท่ากัน ทำให้สามารถปีนป่ายข้ามอุปสรรคได้ง่ายขึ้น, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) ที่สามารถปรับตั้งความเร็วขณะลงได้ และระบบช่วยการออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ขณะที่ตัวรถมีความสูงจากพื้นถนน 225 มิลลิเมตร สามารถรองรับการลุยน้ำด้วยความลึก 800 มิลลิเมตร โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับตัวรถ

136

     ดีไซน์ภายนอกของ Everest 3.2 Titanium+ 2018 ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ติดตั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ HID พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED ขณะที่ด้านท้ายติดตั้งไฟท้ายแบบ LED เช่นกัน มาพร้อมประตูท้ายที่สามารถเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า และสามารถสั่งงานจากรีโมทได้ ตัวถังถูกวางอยู่บนล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ใหญ่สะใจ

     ภายในห้องโดยสารถูกตกแต่งอย่างหรูหราและทันสมัย จัดวางเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถปรับ-พับด้วยไฟฟ้า และสามารถพับเรียบไปกับพื้นห้องโดยสารได้เมื่อไม่ใช้งาน ติดตั้งหลังคาพาโนรามิคมูนรูฟไฟฟ้า (Power Panoramic Moonroof) ขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถเปิดแผ่นม่านกรองแสงได้จนถึงเบาะนั่งแถวที่ 3 ช่วยเพิ่มความโปร่งโล่งภายในห้องโดยสาร อีกทั้งยังติดตั้งช่องจ่ายไฟขนาด 230 โวลต์ บริเวณเบาะนั่งแถวที่สอง จึงช่วยให้สามารถชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสมาร์ทโฟนหรือโน๊ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็วทันใจ

138

     Everest 3.2 Titanium+ 2018 ยังถูกติดตั้งเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนจากภายนอก (Active Noise Cancellation) เช่นเดียวกับหูฟังราคาแพงๆ ซึ่งจะส่งคลื่นเสียงไปหักล้างกับเสียงรบกวนที่เล็ดลอดมาจากภายนอก ทำให้ห้องโดยสารเงียบขึ้นกว่าปกติ รวมถึงยังพัฒนาซีลกันเสียงและวัสดุดูดซับเสียงภายในห้องโดยสารให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นอีกด้วย

     บริเวณคอนโซลหน้าถูกติดตั้งระบบ SYNC 3 ที่แสดงผลผ่านหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว สามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ด้วยคำพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งหน้าจอที่ว่านี้จะถูกใช้สำหรับควบคุมระบบปรับอากาศในรถด้วย โดยที่ SYNC 3 ยังรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay หรือ Android Auto ได้ (ปัจจุบันทางกูเกิ้ลยังไม่เปิดให้ใช้ระบบ Android Auto อย่างเป็นทางการในประเทศไทย แต่หากใครอยากลองของใหม่ก็ลองหาโหลดไฟล์ APK มาใส่ไว้ในมือถือได้) ขับกำลังเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 10 จุด พร้อมซับวูฟเฟอร์ ซึ่งสามารถปรับแต่งเสียงได้ตามความต้องการ

119

     สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เรานั่งเครื่องไปลงที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อขับรถข้ามแดนไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีจุดแวะแห่งแรกอยู่ที่ “น้ำตกแซปองไล” ที่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อันซีนแห่งใหม่ของลาว ด้วยความยิ่งใหญ่ของน้ำตกและความงามของแสงที่ส่องกระทบกับละอองน้ำก่อให้เกิดรุ้งกินน้ำสวยงามสะกดทุกสายตา ก่อนจะตะลุยป่าออกจากตัวน้ำตกเพื่อตั้งแคมป์พักผ่อนให้พร้อมสำหรับวันถัดไป

126

     ในวันต่อมา เราได้เดินทางมุ่งหน้าต่อไปยัง “น้ำตกแซพระ” ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้กัน โดยระหว่างทางเป็นถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นทราย ซึ่งการขับขี่ผ่านถนนเช่นนี้จะก่อให้เกิดฝุ่นควันตลบอบอวล ชนิดที่ว่าสามารถมองเห็นรถคันหน้าได้ในระยะมากสุดไม่เกิน 20 เมตรเท่านั้น จนหัวหน้าคาราวานต้องขอความร่วมมือให้เปิดไฟตัดหมอกหลังแม้จะเป็นเวลากลาววันแสกๆ เพื่อให้มองเห็นรถคันหน้าได้ดียิ่งขึ้น แต่ถึงกระนั้น ฝุ่นควันก็ยังคงหนาทึบจนแทบจะมองไม่เห็นไฟตัดหมอกเลย แม้ว่ารถคันหน้าจะอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น

107

     หลังจากชมความงามของน้ำตกแซพระเป็นที่เรียบร้อย คาราวานก็มุ่งหน้าไปยังโรงเรียนสมบูนไชย ดอนโขง เพื่อมอบสิ่งของที่จำเป็นให้กับเด็กนักเรียนในพื้นที่ พร้อมทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกับชุมชนและเด็กนักเรียน ด้วยการสร้างหลังคาห้องเรียนที่ผุพัง เพื่อเป็นประโยชน์แก่อนาคตของเด็กน้อยชาวลาวที่น่ารักต่อไป

125

     จุดเด่นที่ช่วยให้เราสามารถขับขี่ไปตามขบวนได้อย่างสะดวก ก็คือ ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ซึ่งจะช่วยปรับความเร็วตามคันหน้าอย่างอัตโนมัติ พร้อมทั้งสามารถเลือกปรับตั้งระยะห่างจากรถคันหน้าได้ หากรู้สึกว่าใกล้เกินไป ก็กดปุ่มบริเวณพวงมาลัยเพื่อเพิ่มระยะห่าง ประกอบกับระบบช่วยประคองพวงมาลัยให้อยู่ในเลน ที่ช่วยประคองพวงมาลัยไม่ให้รถออกนอกเลน (ในกรณีที่มีเส้นแบ่งจราจรเท่านั้นนะครับ) โดยพวงมาลัยจะพยายามฝืนมือเพื่อดึงรถกลับมายังช่องทางวิ่งปกติ แต่หากเปิดไฟเลี้ยว ระบบดังกล่าวจะถูกตัดการทำงานชั่วคราว

110

     ในช่วงเย็นเราได้แวะเยี่ยมชมวิถีชีวิตชนเผ่า “ตะโอย” ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนเผ่าที่อาศัยอยู่อย่างเรียบง่ายบริเวณใกล้เชิงเขาท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม ซึ่งชาวตะโอยมีวิถีชีวิตที่น่าสนใจ ด้วยจารีตประเพณีการบูชาเจ้าอย่างเคร่งครัดและวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยชาวบ้านนิยมปลูกไม้อุตสาหกรรม ไม้ผล กาแฟ และเลี้ยงสัตว์ใหญ่ ซึ่งสินค้าหัตถกรรมหลายและงานผ้าอย่างในตลาดเวียงจันทร์ ก็ถูกผลิตขึ้นที่นี่นั่นเอง

143

     ในวันที่ 3 ก่อนเราเดินทางกลับกรุงเทพฯ ขบวนคาราวานได้ปิดท้ายด้วยการแวะชม “ปราสาทหินวัดพู” ที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีและมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบเขมร สร้างขึ้นจากหินทรายและอิฐ ทั้งยังเคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงแหล่งอารยธรรมโบราณยาวนานถึง 3 สมัย ได้แก่ อาณาจักรเจนละ อาณาจักรขอม และอาณาจักรล้านช้าง โดยสถานที่แห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี พ.ศ.2544 อีกด้วย

     สำหรับ Ford Everest 3.2 Titanium+ 2018 ที่เราได้มีโอกาสทดสอบบนเส้นทางข้ามประเทศครั้งนี้ ก็ยังคงเป็นรถพีพีวีที่คุ้มค่าและมีสมรรถนะดีที่สุดคันหนึ่งในตลาด ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะที่ช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะเป็นรถเดิมๆ ทุกคัน ถือเป็นทริปที่เราประทับใจมากที่สุดแห่งปีเลยก็ว่าได้ครับ

     ราคาจำหน่าย Ford Everest 3.2 Titanium+ 2018 ใหม่ อยู่ที่ 1,769,000 บาท

 

ขอขอบคุณ ผู้บริหารและฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้

 

อัลบั้มภาพ 40 ภาพ

อัลบั้มภาพ 40 ภาพ ของ รีวิว Ford Everest 3.2 Titanium+ 2018 ใหม่ ซิ่งตะลุยฝุ่นฝ่าขุนเขาที่ลาวใต้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook