วิเคราะห์ให้ถึงแก่น รถยนต์ไฮบริดที่ประหยัดน้ำมัน คุ้มกับค่าดูแลแค่ไหน

วิเคราะห์ให้ถึงแก่น รถยนต์ไฮบริดที่ประหยัดน้ำมัน คุ้มกับค่าดูแลแค่ไหน

วิเคราะห์ให้ถึงแก่น รถยนต์ไฮบริดที่ประหยัดน้ำมัน คุ้มกับค่าดูแลแค่ไหน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     ท่ามกลางกระแสมากมายจากหลายฟากฝั่งที่หลั่งไหลออกมาโต้เถียงกันเรื่องของรถยนต์ไฮบริดในแง่ของความคุ้มค่า บ้างก็ว่าใช้แล้วคุ้ม เพราะยิ่งใช้ยิ่งประหยัด ประหยัดทั้งค่าน้ำมัน และประหยัดทั้งค่าบำรุงรักษา ขณะที่อีกกลุ่มก็แย้งกลับว่ารถยนต์ไฮบริดยิ่งใช้ยิ่งแพง

     เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด เราลองมาวิเคราะห์เจาะลึกให้เห็นภาพชัดขึ้นว่ารถยนต์ไฮบริด ยิ่งใช้ยิ่งคุ้มค่า จริงหรือหลอก ผ่านระบบของโตโยต้าไฮบริดที่ถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของโลกที่สามารถนำเทคโนโลยีไฮบริดมาใช้ในการผลิตเชิงพาณิชย์กับการเปิดตัวผ่านรถยนต์พรีอุสในปี 1997 พร้อมกับยังส่งรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ๆ ออกมาขับเคี่ยวในตลาดอย่างต่อเนื่อง

     หนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักสำหรับคนมีรถคือ “ค่าน้ำมัน” บางคนเรียกว่าภาระที่ต้องแบกจนหนักอึ้ง ด้วยการเดินทางวันละหลายชั่วโมงประกอบกับสภาพการจราจรที่ติดขัด รู้สึกตัวอีกครั้งก็เสียค่าน้ำมันหลักหมื่นแทบทุกเดือน ทั้งยังควบคุมไม่ได้เพราะน้ำมันประกาศขึ้นราคาแบบไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อยครั้ง

     ตรงกันข้ามหากรถยนต์ที่ใช้เป็นระบบไฮบริด ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นแกนหลักในการทำงาน ขณะที่จอดหรือขับด้วยความเร็วต่ำ ระบบไฮบริดจะใช้แค่มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียวโดยไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันเลยแม้แต่น้อย และในขณะที่รถใช้ความเร็วค่อนข้างสูง ระบบไฮบริดจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมกำลังการทำงานของเครื่องยนต์ ส่งผลให้กินน้ำมันน้อยลงอย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีระบบที่สามารถแปลงพลังงานจลน์ซึ่งเกิดจากการเบรกหรือหยุดรถให้กลับกลายเป็นพลังงานส่งกลับไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ไฮบริดได้อีกด้วย

     ดังนั้นหนึ่งในความคุ้มค่าของการใช้รถยนต์ระบบไฮบริดคือเรื่องของค่าน้ำมันซึ่งจะลดลงแน่นอน เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้นในระยะทาง 100,000 กิโลเมตรเท่ากัน คำนวณที่ค่าน้ำมันลิตรละ 34 บาท รถยนต์ปกติจะใช้น้ำมัน 6,493.5 ลิตร ค่าน้ำมันประมาณ 220,779 บาท ขณะที่รถไฮบริดเจนใหม่ C-HR ใช้น้ำมัน 4,098.3 ลิตร ค่าน้ำมันประมาณ 139,342.2 บาท ส่วนรถไฮบริด C-HR ใช้น้ำมันน้อยกว่ารถยนต์ปกติ 2,395.2 ลิตร ตีเป็นค่าน้ำมันที่ประหยัดไปประมาณ 81,436.8 บาท

                   

     ส่วนเรื่องของแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฮบริดที่เป็นข้อกังขาให้หลายคนถกเถียงว่าใช้แล้วไม่คุ้ม จากการทดลองล่าสุดในประเทศอเมริกาพบว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดสามารถใช้ได้นานถึง 400,000 กิโลเมตรโดยไม่เสื่อมประสิทธิภาพ อีกทั้งเพื่อความมั่นใจโตโยต้ายังรับประกันคุณภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดนานถึง 10 ปี อีกทั้งระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นใหม่ของโตโยต้าได้มีการพัฒนาระบบระบายความร้อนในแบตเตอรี่เพื่อให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น และสาเหตุสำคัญคือนักลงทุนหลายรายยังคาดการณ์ตรงกันว่าราคาแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฮบริดจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นนโยบายจากภาครัฐเพื่อเป็นการสนับสนุนการใช้รถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น รถไฮบริดรุ่นใหม่อย่าง C-HR ที่ราคาแบตเตอรี่อยู่ที่ 61,500 บาท เท่านั้น

     สำหรับเรื่องการดูแลรักษารถยนต์ไฮบริดมีค่าใช้จ่ายที่แทบจะไม่แตกต่างจากรถยนต์ระบบธรรมดาทั่วไป เมื่อลองเปรียบเทียบกับรถยนต์คัมรีรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาที่มีระยะทางวิ่งที่หนึ่งแสนกิโลเมตรเท่ากัน  มีส่วนต่างที่รถยนต์คัมรีรุ่นไฮบริดต้องจ่ายมากกว่าอยู่ที่ 1,150 บาทเท่านั้น

     ความคุ้มค่าอีกอย่างที่ได้แน่นอนเมื่อเลือกใช้รถยนต์ระบบไฮบริดคือช่วยลดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากเทียบให้เห็นภาพ โตโยต้าพรีอุส จะมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร เท่ากันทั่วไปถึง 55 กรัมต่อกิโลเมตร เปรียบได้กับการปลูกต้นไม้กว่า 100 ต้นในหนึ่งปีทีเดียว

    แต่ที่ถือว่าคุ้มที่สุดต้องยกให้กับความสนุกในการขับ โดยเฉพาะรุ่น C-HR เพราะมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ TNGA ซึ่งออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงตัวรถต่ำเพื่อลดอาการโคลงของตัวรถ ทั้งยังออกแบบตัวรถให้เหมาะกับสรีระของผู้ขับขี่มากขึ้น ลดจุดอับสายตา ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ พวงมาลัยมีการปรับจูนใหม่ให้ตอบสนองได้อย่างแม่นยำมากขึ้นเพื่อให้การควบคุมรถง่ายกว่าเดิม และที่สำคัญช่วงล่างเป็นอิสระแบบปีกนกคู่เพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่

     หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงลังเลตัดสินใจเลือกรถสักคันให้กับตัวเอง อย่าลืมลองเปรียบเทียบความคุ้มค่าข้างต้นกับไลฟ์สไตล์ในชีวิตดูเพื่อให้ได้คำตอบที่ใช่ที่สุดสำหรับตัวเอง

 


[Advertorial]  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook