ทดลองขับ Fortuner แบบยาวๆ กรุงเทพถึงนครนายก จัดเต็มทั้งขึ้นเขา ลงเขื่อน ทดสอบให้ครบทุกฟังก์ชั่น

ทดลองขับ Fortuner แบบยาวๆ กรุงเทพถึงนครนายก จัดเต็มทั้งขึ้นเขา ลงเขื่อน ทดสอบให้ครบทุกฟังก์ชั่น

ทดลองขับ Fortuner แบบยาวๆ กรุงเทพถึงนครนายก  จัดเต็มทั้งขึ้นเขา ลงเขื่อน ทดสอบให้ครบทุกฟังก์ชั่น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook



     ขอมาแบ่งปันประสบการณ์ทดลองขับ Fortuner กันแบบเจาะลึกทั้งเรื่องดีไซน์ สมรรถนะ ความแรง ความสะดวกสบายในการใช้งาน ไปจนถึงทดสอบช่วงล่าง โดยโลเคชั่นลองรถครั้งนี้ผมเลือกเป็นเขื่อนขุนด่านปราการชล เพราะมีครบทั้งทางตรงให้วิ่งเร็วได้แบบยาวๆ ทางโค้ง ทางชัน และถนนลูกรัง

     ครั้งแรกที่สัมผัสบอกเลยว่าโดนใจมาก เริ่มตั้งแต่ดีไซน์ตัวรถภายนอกและภายในที่ผมมองว่ามันดูแข็งแกร่งแต่ก็หรูหรา ด้วยความที่เขาเพิ่มดีไซน์ตัวถังให้มีความสปอร์ตดูโฉบเฉี่ยวและปราดเปรียวขึ้น ส่วนของบันไดข้างก็มีการเติมเส้นสายสีเงินลงไป ช่วยทำให้ดูลงตัวมากขึ้น

 

     ส่วนในห้องโดยสารก็ถือว่าสะดวกสบายจนต้องขอยกป้ายสามผ่านให้แบบรัวๆ ถูกใจคนใช้ชีวิตอยู่บนรถแบบผมมาก ทั้งเรื่องของเบาะนั่งคู่หน้าที่ปรับไฟฟ้าได้มากถึง 8 ทิศทาง พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง มีระบบ Push Start มี Smart Energy ช่วยประหยัดพลังงาน มีโหมดการขับขี่ที่เลือกให้เป็น PWR ได้ และยังมีโหมด ECO ที่ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมไปในตัว แต่ที่ผมชอบสุดคือมีช่องสำหรับเสียบปลั๊กเพื่อชาร์ตไฟได้ มันเหมาะกับคนชอบถ่ายรูปอย่างผม เพราะแบตหมดก็พร้อ,ชาร์ตทันทีแบบที่ไม่ต้องรอให้ถึงที่พัก

 

     แล้วก็ได้เวลาลอง!

     เริ่มต้นกันที่ระบบ T-Connect Telematics เป็นการเชื่อมต่อรถยนต์เข้ากับสมาร์ทโฟน ซึ่งความเจ๋งมันอยู่ตรงที่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ขอแค่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันสำเร็จ คุณก็จะรู้ทุกการเคลื่อนไหวของรถ ไม่ว่าจะเป็นฟังค์ชั่น Find My Car ชี้พิกัดให้เดินทางกลับไปหารถที่จอดอยู่ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วแบบไม่มีหลง หรือ Parking Alert ที่จะแจ้งเตือนทันทีเมื่อรถถูกเคลื่อนที่โดยการสตาร์ทหรือการลากที่ระยะ 100 เมตรขึ้นไป

     แต่เมื่อการเดินทางครั้งนี้คือการเดินทางไกล ผมจึงลองใช้ระบบ OPS (Operation Service) โทรศัพท์ขอเส้นทางจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีแผนที่ในการเดินทางทั้งหมดก็ถูกส่งมาอยู่ที่หน้าจอภายในรถ ซึ่งผมว่าดีตรงที่ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาเอง ยิ่งตอนขับรถอยู่ก็ไม่ต้องจอดหรือเสี่ยงไม่ปลอดภัยกับการกดๆ จิ้มๆ แต่นี่แค่ยกหูโทรศัพท์เท่านั้น ทุกอย่างก็เรียบร้อย  



     การเดินทางครั้งนี้ เมื่อใช้รถกับทางปกติ ผมจะใช้โหมด H2 แต่เมื่อเจอถนนเปียกลื่นหรือฝนตกหนักและต้องการให้รถเกาะถนนมากขึ้น ผมจะเปลี่ยนมาเป็นโหมด H4 ส่วนในเส้นทางวิบากที่ไปลองขับรถขึ้นรถเขาซึ่งรถต้องการกำลังขับเคลื่อนสูงผมจะสลับไปเป็นโหมด L4 ซึ่งทั้งหมดถือว่าตอบโจทย์ดีมาก ใช้งานง่าย สะดวก และที่สำคัญช่วงล่างยังไม่แข็งหรือทำให้รู้สึกกระแทก ซึ่งความเจ๋งนี้ ผมว่ามาจากการที่ฟอร์จูนเนอร์รุ่นนี้เลือกใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ Sigma4 ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างระบบ DAC และ  A-TRC ทำให้พร้อมลุยในทุกสถานการณ์  แถมด้วยสมรรถนะในการขับขี่ของช่วงล่างที่ยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น

     ส่วนเรื่องของระบบความปลอดภัย ฟอร์จูนเนอร์คันนี้ มีทั้งแบบ Active Safety และ Passive Safety จัดเต็มแบบไม่เป็นสองรองใคร ตั้งแต่โครงสร้างตัวถังที่พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น แต่ที่เด่นสุดคือระบบโครงสร้างนิรภัยแบบ GOA ซึ่งจะเข้ามาช่วยดูดซับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ พร้อมกับเสริมความแข็งแกร่งให้บริเวณห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่ให้เสริมเข้ามาอีกหลายอย่าง เช่น ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบควบคุมการทรงตัว ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจในทุกการขับขี่ แถมเวลาต้องการทำความความเร็วก็ตอบสนองได้ทันใจ



     โดยส่วนตัวถ้าจะให้พูดถึงความคุ้มค่าของรถฟอร์จูนเนอร์คันนี้ บอกได้เลยว่าสมรรถนะและอุปกรณ์ที่ให้มาสามารถตอบโจทย์การใช้งานในทุกรูปแบบได้เป็นอย่างดี คุ้มค่าสมราคาที่จะลงทุนซื้อรถสักคันหนึ่ง ที่สำคัญถ้าคิดจะขายต่อก็ยังคุ้ม ด้วยความที่เป็นรถที่มีคนสนใจอยู่มาก ดังนั้นแน่นอนว่าขายต่อได้ในราคาที่สูงแน่นอน

     ที่สำคัญขึ้นชื่อว่าเป็นรถยนต์จากโตโยต้า หมดกังวลได้เลยเรื่องของราคาอะไหล่กับศูนย์บริการที่มีอยู่ทั่วประเทศ จึงอุ่นใจได้แน่ๆ ในทุกการเดินทางว่าต่อให้เกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นก็จะมีตัวช่วยในทันที ซึ่งด้วยคุณสมบัติที่บอกมาทั้งหมดบวกกับการได้ลองใช้จริง วิ่งทั้งยาว ทั้งสั้น ในกรุงเทพต่อเนื่องไปถึงนครนายกที่เขื่อนขุนด่านปราการชลเพื่อทดสอบสมรรถนะช่วงล่าง ผมยืนยันได้เลยว่าฟอร์จูนเนอร์คันนี้เป็นรถที่ดีและคุ้มค่ามากสำหรับผม

     “ดีสำหรับทางเรียบ เยี่ยมสำหรับทางลุยครับ”

 

               

 [Advertorial]

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook