รีวิว MG HS PHEV 2021 ใหม่ ไม่ได้มีดีแค่ความคุ้มค่า แต่สมรรถนะยังแรงเกินคาด

รีวิว MG HS PHEV 2021 ใหม่ ไม่ได้มีดีแค่ความคุ้มค่า แต่สมรรถนะยังแรงเกินคาด

รีวิว MG HS PHEV 2021 ใหม่ ไม่ได้มีดีแค่ความคุ้มค่า แต่สมรรถนะยังแรงเกินคาด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     MG HS PHEV 2021 ใหม่ ถือเป็นรถ SUV ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่มีราคาจำหน่ายเข้าถึงได้ง่ายที่สุดในขณะนี้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้รถรุ่นนี้มีดีเพียงฉาบฉวยเท่านั้น เพราะหลังจากที่เราได้ทดลองขับกันหนึ่งวันเต็มๆ ก็พูดได้เต็มปากว่านี่คือรถเอ็มจีที่น่าใช้ที่สุดเท่าที่เราเคยทดสอบขับมาเลยก็ว่าได้

     MG HS PHEV ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ MG HS เครื่องยนต์เบนซินที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปลักษณ์สวยงามลงตัวอย่างที่หลายคนชื่นชอบ และทำให้ลืมภาพลักษณ์ของเอ็มจียุคแรกๆ ที่นำเข้ามาวางขายในประเทศไทยไปแทบจะหมดสิ้น

43

     สำหรับ MG HS PHEV เครื่องยนต์ Plug-in Hybrid จะมีให้เลือกเพียงรุ่นย่อยเดียวเท่านั้น และถือเป็นรถในตระกูล HS ที่มีอุปกรณ์มาตรฐานครบครันที่สุดในขณะนี้ โดยมีราคาจำหน่ายขยับขึ้นมาจากรุ่นท็อปเบนซิน (รุ่น X) อยู่ที่ 240,000 บาทพอดิบพอดี แลกกับการได้ครอบครองเทคโนโลยีไฮบริดเสียบปลั๊ก พร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมา

 

ภายนอก

     ดีไซน์ภายนอกของรุ่น PHEV ยังคงถอดแบบมาจากรุ่นเบนซิน หากมองเผินๆ อาจแยกกันไม่ออกด้วยซ้ำไป เพราะนอกจากลวดลายของล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และฝาปิดช่องชาร์จไฟฝั่งผู้ขับขี่บริเวณใกล้กับประตูหลังที่เพิ่มขึ้นมาแล้วนั้น ส่วนอื่นๆ ก็ยังคงเหมือนกันทั้งหมด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเลย

14

     อุปกรณ์มาตรฐานภายนอกของ HS PHEV ประกอบด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Lights ที่สามารถเปลี่ยนเป็นไฟเลี้ยวแบบ Sequential ดีไซน์สวยงาม มาพร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบปรับระดับสูง-ต่ำตามน้ำหนักบรรทุกจากปุ่มภายในรถ มีไฟตัดหมอกหน้าและหลังมาให้เป็นมาตรฐาน

     ขณะที่ไฟท้ายถูกยกชุดมาจากรุ่นเบนซินเช่นกัน เสริมความหล่อด้วยไฟเลี้ยวแบบ Sequential เช่นเดียวกับด้านหน้า ติดตั้งกระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า, ระบบปัดน้ำฝนหน้าอัตโนมัติ, ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า และที่ขาดไม่ได้เห็นจะเป็นหลังคา Panoramic Sunroof บานใหญ่พิเศษที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของรถเอ็มจีไปแล้ว

13

 

ภายใน

     ภายในห้องโดยสารมีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ขึ้นอยู่กับสีภายนอก โดยมีดำจะมาคู่กับตัวถังสีแดง Scarlet Red และสีดำ Black Knight ส่วนสีทูโทนขาว-น้ำเงิน Monaco Blue จะอยู่ในตัวถังสีขาว Arctic White เท่านั้น ส่วนใครจะชอบสีไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่เมื่อเห็นของจริงก็ต้องยอมรับว่าห้องโดยสารสีขาวตัดสีน้ำเงินก็ช่วยให้ดูพรีเมียมและล้ำสมัยไม่น้อยทีเดียว

20

     เบาะนั่งของ HS PHEV เป็นทรงสปอร์ตที่รวมเอาพนักพิงศีรษะเข้าไว้เป็นชิ้นเดียวกับตัวเบาะ สามารถปรับไฟฟ้าฝั่งผู้ขับขี่ได้ 6 ทิศทาง และฝั่งผู้โดยสารได้ 4 ทิศทาง พร้อมพนักพิงเบาะนั่งแถวหลังสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ ขณะที่พวงมาลัยแบบ 3 ก้านถูกหุ้มวัสดุหนังเช่นกัน สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง ทั้งขึ้น-ลง และยืดเข้า-ออกเพื่อให้เหมาะสมตามสรีระของแต่ละคน

     ชุดเรือนไมล์สำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่เป็นแบบ Interactive Multi-function Display ขนาด 12 นิ้ว สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้ตามโหมดการขับขี่ โดยสามารถแสดงข้อมูลระบบขับเคลื่อนได้ค่อนข้างละเอียด จนแทบจะรู้สึกว่าเกินความจำเป็นไปนิดๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่ถึงกระนั้น ตัวหน้าจอก็สามารถแสดงความเร็วและการใช้กำลังไฟเป็นตัวเลขขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นได้อย่างสบายตา

16

     อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ก็ยังคงมีให้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นกระจกไฟฟ้า One Touch Up-down ทั้งสี่บาน, กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual-zone แยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา พร้อมไส้กรอง PM2.5, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, ช่องจ่ายไฟแบบ USB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง 2 ตำแหน่ง, กุญแจรีโมท Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start และไฟ Ambient Light ช่วยเพิ่มบรรยากาศภายในห้องโดยสาร

     ด้านระบบอินโฟเทนเมนท์ติดตั้งหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธและ USB รวมถึงกล้องมองภาพรอบคัน เสริมความพรีเมียมด้วยระบบเสียง BOSE 8.1 Sound System พร้อมด้วยระบบเชื่อมต่อ i-SMART ที่เพิ่มฟังก์ชั่น Charging Management เพื่อตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่, การชาร์จแบตเตอรี่ และค้นหาสถานีชาร์จได้

25

     ขณะที่ฟีเจอร์อื่นๆ ที่สำคัญของระบบ i-SMART ใน HS PHEV ยังมีให้อย่างครบถ้วน เช่น การล็อก-ปลดล็อกประตูผ่านมือถือ, ระบบค้นหารถยนต์ด้วยการเปิดไฟหน้าหรือส่งเสียงแตร, ระบบแจ้งเตือนความผิดปกติของตัวรถ, ระบบนำทางพร้อมแสดงข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์ และสามารถเปิดแอร์ภายในรถให้เย็นฉ่ำก่อนก้าวขึ้นรถได้ เป็นต้น

     ส่วนระบบความปลอดภัยก็ยังคงแน่นเอี๊ยดถึง 25 ฟังก์ชั่นตามสไตล์เอ็มจี ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning, ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control, ระบบเตือนและควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน Lane Departure Warning/Land Keep Assist, ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitor System และอื่นๆ อีกมากมาย

16_1

     แต่ไฮไลท์เด็ดของ HS PHEV อยู่ที่ระบบ Door Open Warning แบบเดียวกับที่เราเคยพบในรถระดับหรูบางยี่ห้อ โดยเซ็นเซอร์บริเวณกันชนท้ายจะตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนเป็นสัญญาณไฟกระพริบบริเวณแผงลำโพงใกล้กับเสา A ว่ามีรถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานกำลังวิ่งขึ้นมาทางด้านข้างในขณะเปิดประตู เพื่อลดความเสียงในการเปิดประตูกระแทกบุคคลภายนอก ซึ่งฟังก์ชั่นนี้จะทำงานต่อเมื่อรถที่วิ่งขึ้นมาด้านข้างมีความเร็วตั้งแต่ 8 กม./ชม. ขึ้นไป

 

เครื่องยนต์

     MG HS PHEV ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Turbo TGI ความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุดเฉพาะเครื่องยนต์อยู่ที่ 162 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตร แถมยังมีเกียร์ 4 จังหวะสำหรับขับเคลื่อนล้อคู่หลังโดยเฉพาะ

39

     โดยเอ็มจีเคลมพละกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบเอาไว้ที่ 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตัน-เมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่นำกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าบวกกันแบบดื้อๆ เช่นเดียวกับระบบเกียร์อัตโนมัติ EDU II แบบ 10 สปีด ที่เอาอัตราทดของเครื่องยนต์และเกียร์มารวมกัน (ที่เป็นเช่นนี้เข้าใจว่ามีสาเหตุมาจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าของ HS PHEV มีการส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าและหลังอย่างอิสระ จึงไม่อาจวัดกำลังรวมที่แท้จริงได้เหมือนกับรถไฮบริดทั่วไป)

     ทั้งหมดที่เราเล่ามานี้ ก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า HS PHEV จะไม่แรงตามสเปกหรอกนะครับ เพราะอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของรถคันนี้ถูกเคลมไว้ที่ 7.5 วินาทีเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างสมเหตุสมผลกับรถเอสยูวีที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกือบ 1.8 ตัน พร้อมล้ออัลลอยขนาดใหญ่ถึง 18 นิ้ว หุ้มด้วยแก้มยางซีรี่ย์ 50 จนเรียกได้ว่าเป็นรถเอ็มจีที่มีอัตราเร่งดีที่สุดในขณะนี้เลยก็ว่าได้

01

     แบตเตอรี่ไฮบริดเป็นแบบลิเธียม-ไอออนขนาด 16.6 kWh สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าได้เป็นระยะทาง 67 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC อีกทั้งยังสามารถเร่งความเร็วในโหมดไฟฟ้าได้จนถึง 155 กม./ชม. โดยไม่ต้องอาศัยการทำงานของเครื่องยนต์เลยแม้แต่นิดเดียว (แต่นั่นก็จะทำให้ปริมาณแบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน) ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 65 กม./ลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่วัดจากประมาณแบตเตอรี่เต็มก่อนจะตัดไปใช้ระบบไฮบริดปกติ

 

การขับขี่

     สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ เราจะเริ่มออกสตาร์ทในขณะที่แบตเตอรี่ (เกือบ) เต็ม เพื่อเป็นการจำลองการใช้งานในชีวิตประจำวันของชาวออฟฟิศที่ต้องมุ่งหน้าขับรถเข้าเมืองท่ามกลางสภาพจราจรหนาแน่นในช่วงเช้าและเย็น และกลับบ้านมาชาร์จแบตเตอรี่ค้างคืนไว้จนเต็มสำหรับนำไปใช้งานในวันถัดไป ดังนั้นการขับขี่ในช่วงแรกระบบจะดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ในการขับเคลื่อนเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องยนต์ให้มากที่สุด

08

     การขับขี่ในโหมดไฟฟ้าของ MG HS PHEV ให้อัตราเร่งที่นุ่มนวลตามฉบับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดส่วนใหญ่ที่เราเคยสัมผัสมา แต่จังหวะที่เส้นทางข้างหน้าเปิดโล่ง ก็สามารถเติมคันเร่งเพื่อให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วตามใจสั่ง และตอบสนองได้ดีเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไปโดยแทบไม่ต้องอาศัยกำลังจากเครื่องยนต์เพิ่มเติมเลย

     เมื่อเดินทางมาถึง ถ.บรมราชชนนีขาออก ที่มีลักษณะเปิดโล่ง เราก็สามารถไต่ระดับจนถึงความเร็ว 120 กม./ชม. ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่จุดที่ต้องสังเกตอย่างหนึ่งคือ ช่วงระดับความเร็วประมาณ 60-70 กม./ชม. จะมีอาการวูบให้รู้สึกอยู่เล็กน้อย ซึ่งอาการที่ว่านี้คล้ายกับว่าพละกำลังได้หายลงไปดื้อๆ สักครึ่งวินาที ก่อนจะมีแรงส่งไปข้างหน้าต่อได้อีกครั้ง

     โดยทีมงานของเอ็มจีให้เหตุผลว่าอาการดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการตัดต่อของชุดเกียร์ของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีอัตราทดชนกันพอดิบพอดี (ซึ่งเกิดขึ้นแม้ว่าเครื่องยนต์จะไม่ได้ทำงานด้วยก็ตาม) และจะเกิดขึ้นกับช่วงความเร็วที่ว่านี้เท่านั้น ขณะที่ช่วงความเร็วอื่นๆ จะยังคงให้ความลื่นไหลและนุ่มนวลอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็เชื่อว่าน่าจะทำให้ใครหลายคนรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างไม่น้อย

12

     เราเดินทางจากเลียบทางด่วนมายังร้านกาแฟชื่อดังย่านราชพฤกษ์ ก่อนจะมาแวะรับประทานอาหารกลางวันแถวสีลม ใช้ระยะทางรวมทั้งสิ้น 45.6 กิโลเมตร สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองไปเพียง 58.8 กม./ลิตรเท่านั้น (แน่นอนว่าระหว่างการขับขี่มีการใช้เครื่องยนต์เข้ามาบ้าง) ขณะที่ปริมาณแบตเตอรี่ยังคงเหลืออยู่อีก 32% และหน้าจอยังโชว์ว่าสามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าได้อีกราว 21 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจทีเดียว เพราะเราใช้เส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นปกติ ไม่ได้ย่างกรายขึ้นทางด่วนเลยแม้แต่น้อย

     ทันทีที่ปริมาณแบตเตอรี่ลดลงเหลือน้อยเกินกว่าจะขับเคลื่อนในโหมด EV ได้นั้น ระบบจะตัดเป็นโหมดไฮบริดในทันที ซึ่งจะเห็นได้ว่าการทำงานของเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตรที่เข้ามาเสริมมอเตอร์ไฟฟ้านั้น ทำให้ตัวรถมีความกระฉับกระเฉงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าสภาพการจราจรจะไม่เอื้ออำนวยให้เราได้ทดสอบอัตราเร่งด้วยตัวเอง แต่เท่าที่เอ็มจีเคลมตัวเลข 0-100 กม./ชม. ไว้ที่ 7.5 วินาที ก็ดูใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากทีเดียว ซึ่งนั่นก็แรงพอให้กระบะพ่นหมึกทั้งหลายถึงกับอ้าปากเหวอได้เลย

10

     ช่วงล่างของ HS PHEV มีความแตกต่างจากเอ็มจีรุ่นอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีความแข็งกระด้างเพิ่มขึ้นอยู่พอสมควร จะสังเกตได้ชัดเวลาขับผ่านรอยต่อคอสะพานหรือฝาท่อที่ไม่เรียบเสมอกับพื้นถนน จะมีอาการตึงตังให้รู้สึกอยู่พอประมาณ แต่ก็แลกกับการทรงตัวที่นิ่งบนความเร็วสูง ต่างจากช่วงล่างของ MG ZS EV ที่รายนั้นถูกเซ็ตมานิ่มย้วยยวบยาบราวกับขับรถพีพีวีกันไปเลย

     ขณะที่การเก็บเสียงทำได้ดีเช่นกัน เนื่องจากทีมวิศวกรได้มีการพัฒนา NVH (Noise Vibration Harshness) มาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฟิล์มซับเสียง การเพิ่มแผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสาร ช่วยตัดเสียงรบกวนจากภายนอกทั้งเสียงลมและเสียงจากพื้นถนน จึงรับรู้ได้ว่าพวกเขาหันมาใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพื่อพัฒนาให้รถคันนี้เหมาะสำหรับลูกค้าชาวไทยมากยิ่งขึ้น

 

สรุป

     MG HS PHEV ยังคงเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่าเต็มเปี่ยมชนิดหาคู่เทียบไม่ได้ ด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่มีให้อย่างเต็มเอี๊ยดทั้งคัน ทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยนับไม่ถ้วน ขณะที่ระบบปลั๊กอินไฮบริดก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่คาดหวังไว้ (แต่มีจุดสังเกตเล็กๆ อยู่ที่อาการวูบในช่วงความเร็ว 60-70 กม./ชม. อย่างที่กล่าวไป) แถมยังแรงเกินคาดอยู่นิดๆ ด้วยซ้ำ

44

     นอกจากนี้ MG HS PHEV ยังมาพร้อมเงื่อนไขการรับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง รวมถึงแบตเตอรี่ที่สามารถถอดเปลี่ยนแบบแยกโมดูลได้ ซึ่งน่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาลงได้ในระยะยาว

     รถคันนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องทำงานออฟฟิศ หรือใช้รถอยู่เป็นประจำ ทั้งในเมืองและนอกเมือง แบตเตอรี่ให้พลังงานเพียงพอสำหรับการขับรถไปทำงาน และสลับมาเป็นระบบไฮบริดในช่วงขากลับบ้าน ก่อนจะกลับมาชาร์จเพื่อใช้ขับรถไปทำงานในวันถัดไป ซึ่งเป็นจุดเด่นของระบบ PHEV ที่ช่วยยืดระยะการเติมน้ำมันในแต่ละถังออกไปได้

09

     ราคาจำหน่าย MG HS PHEV 2021 ใหม่ อยู่ที่ 1,359,000 บาท

 

อัลบั้มภาพ 36 ภาพ

อัลบั้มภาพ 36 ภาพ ของ รีวิว MG HS PHEV 2021 ใหม่ ไม่ได้มีดีแค่ความคุ้มค่า แต่สมรรถนะยังแรงเกินคาด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook