รีวิว Haval Jolion Hybrid 2022 ใหม่ บอดี้ใหญ่ออปชันเยอะในงบไม่ถึงล้าน

รีวิว Haval Jolion Hybrid 2022 ใหม่ บอดี้ใหญ่ออปชันเยอะในงบไม่ถึงล้าน

รีวิว Haval Jolion Hybrid 2022 ใหม่ บอดี้ใหญ่ออปชันเยอะในงบไม่ถึงล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     Haval Jolion Hybrid 2022 ใหม่ เป็นรถยนต์รุ่นที่ 3 จากเครือ GWM Thailand ที่ถูกส่งมาร่วมชิงส่วนแบ่งการตลาดในบ้านเรา แม้ว่ากระแสอาจจะดูไม่ดังเปรี้ยงปร้างเหมือนกับสมัยที่เปิดตัว Haval H6 Hybrid และ ORA Good Cat ใหม่ๆ แต่ก็น่าจะถูกอกถูกใจผู้ที่กำลังมองหาความคุ้มค่าไม่น้อยทีเดียว

     วันนี้ Sanook Auto จะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักเอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุดคันนี้กัน ไว้เป็นทางเลือกในการพิจารณาซื้อรถคันใหม่ของคุณเองครับ

haval_jolion_50

     Haval Jolion Hybrid ใหม่ เป็นเอสยูวีรุ่นที่ 2 ต่อจาก Haval H6 Hybrid ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน และถือเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ไฮบริดมาให้ เนื่องจากตลาดบ้านเกิดที่ประเทศจีนจะมีให้เลือกเฉพาะเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตรเท่านั้น ซึ่งเครื่องยนต์ไฮบริดที่วางอยู่ใน Jolion ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะเป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน H6 Hybrid นั่นแหละ เพียงแต่ตัดเทอร์โบออกไปเท่านั้น

     สำหรับบ้านเรามีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่ TECH, PRO และ ULTRA ที่มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นตั้งแต่ 879,000 บาท ไปจนถึง 999,000 บาท ซึ่งถือว่าคร่อมอยู่ระหว่างคู่แข่งร่วมสัญชาติอย่าง MG ZS ที่มีราคารุ่นท็อปสุดอยู่ที่ 799,000 บาท และ MG HS ที่มีราคาเริ่มต้น 919,000 บาท แต่ก็ไปจบรุ่นท็อปอยู่ที่ 1,119,000 บาท

haval_jolion_39

     สำหรับรถคันที่เราได้ทดสอบในครั้งนี้เป็นรุ่น ULTRA ซึ่งเป็นรุ่นท็อปที่มีอุปกรณ์มาตรฐานครบครันที่สุด แลกกับราคาค่าตัว 999,000 บาทพอดิบพอดี (แถมยังเป็นราคาแบบ One Price ที่ไม่มีส่วนลดใดๆ อีกทั้งสิ้น ไม่ว่าคุณจะซื้อผ่านช่องทางใดก็ตาม)

     Haval Jolion ถูกพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม GWM LEMON ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผลเลมอนหรอกนะครับ หากแต่ย่อมาจากคำว่า Lightweight, Electrification, Multi-purpose และ Omni-protection Network นั่นเอง ซึ่งแพล็ตฟอร์มนี้มีจุดเด่นอยู่ที่การรองรับเครื่องยนต์ได้หลากหลายทั้งสันดาปล้วนและที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบ รวมถึงมีน้ำหนักเบา และสามารถติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ ได้

ภายนอก

     ดีไซน์ภายนอกของ Haval Jolion (ซึ่งเกรทวอลล์ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องออกเสียง “โจ-ไล-อ้อน” ไม่ใช่ “โจ-เลี่ยน”) มีเส้นสายที่ดูคล้ายคลึงกับรุ่นพี่อย่าง H6 แต่เติมความโฉบเฉี่ยวเข้าไปมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ Intelligent LED Headlamp ที่ออกแบบให้เป็นรูปตัวแอล พร้อมไฟเลี้ยว LED ขนาดมหึมา โดยไฟหน้าชุดนี้มีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ, ระบบไฟ Welcome Light และระบบส่องนำทางหลังดับเครื่องยนต์มาให้ด้วย ซึ่งเมื่อวิ่งอยู่บนถนนแล้วค่อนข้างโดดเด่นสะดุดตา

haval_jolion_14

     ขณะที่ไฟท้ายจะมีลักษณะเป็นรูปตัว T ที่มีดีไซน์สอดคล้องกับไฟหน้า ซึ่งความสวยงามก็สุดแท้แต่มุมมองของแต่ละคน แต่โดยรวมก็ถือว่าให้ความโดดเด่นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ในเวลากลางคืน โดยที่รอบคันยังเพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งแบบโครเมียม ไม่ว่าจะเป็นขอบหน้าต่างประตู, ชายประตู และกันชนหน้า-หลัง โดยที่รุ่น ULTRA จะได้ล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 18 นิ้ว ขณะที่รุ่น TECH และ PRO จะเป็นล้อขนาด 17 นิ้วลายเดียวกันทั้งคู่

     ไฮไลท์สำคัญของรุ่น ULTRA อยู่ที่หลังคาซันรูฟแบบ Panoramic ขนาดใหญ่เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ถูกใจคนรุ่นใหม่เป็นอย่างดี หากใครอยากได้ต้องเลือกรุ่น ULTRA เท่านั้น เพราะในรุ่น TECH และ PRO ไม่มีมาให้ ส่วนประตูท้ายแบบไฟฟ้านั้นไม่มีมาให้เลยแม้แต่รุ่นเดียว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับรถในกลุ่ม B-SUV ที่มีราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท

haval_jolion_17

ภายใน

     ภายในห้องโดยสารเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของ H6 Hybrid เช่นเดียวกัน โดยรุ่น ULTRA จะถูกตกแต่งด้วยสีทูโทนดูสว่างตา เสริมด้วยการตกแต่งขอบชิ้นส่วนต่างๆ ด้วยสีโรสโกลด์เพิ่มความหรูหราขึ้นไปอีกขั้น ขณะที่เบาะนั่งจะถูกหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ สามารถปรับระดับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทางฝั่งผู้ขับขี่ พร้อมด้วยระบบระบายความร้อนในตัวเบาะผู้ขับ ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าเป็นแบบปรับมือ 4 ทิศทาง

haval_jolion_19

     ส่วนเบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 ได้ พร้อมทั้งมีพนักพิงศีรษะมาให้ทั้ง 3 ตำแหน่ง รวมถึงมีที่พักแขนแบบพับได้ตอนกลางพร้อมช่องวางแก้วน้ำ เพิ่มความสะดวกสบายด้วยช่องชาร์จไฟแบบ USB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ขณะที่ช่องแอร์ด้านหลังต้องเป็นรุ่น PRO ขึ้นมาเท่านั้นจึงจะติดตั้งมาให้

     สำหรับรุ่น ULTRA จะได้หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว (ซึ่งมีให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น) พร้อมหน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 12.3 นิ้ว (รุ่น TECH และ PRO เป็นขนาด 10.25 นิ้ว) โดยการควบคุมระดับเสียงและระบบปรับอากาศจะขึ้นอยู่กับหน้าจอสัมผัสที่ว่านี้ทั้งหมด ซึ่งอาจไม่สะดวกนักสำหรับผู้ขับขี่ คงต้องอาศัยความเคยชินกันอยู่สักหน่อย ส่วน Interface ของระบบก็แทบไม่ต่างไปจาก H6 Hybrid สักเท่าไหร่ ออกแนวคล้ายๆ กับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์อย่างไรอย่างนั้น

haval_jolion_26

     หน้าจอชุดดังกล่าวยังมาพร้อมระบบนำทางในตัว, ระบบ Wi-Fi, ระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Command), ระบบอัปเกรดผ่านออนไลน์ (FOTA) และยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay ได้ พร้อมทั้งขับกำลังเสียงผ่านลำโพง 6 จุดรอบคัน ซึ่งคุณภาพเสียงที่ได้ถือว่าดีเกินคาด ให้เสียงค่อนข้างใสและกังวาน ขณะที่เสียงเบสก็มีให้ได้ยินพอประมาณ เอาเป็นว่าคนส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหากับเครื่องเสียงชุดนี้อย่างแน่นอน

     นอกจากนี้ Haval Jolion รุ่น ULTRA ยังมีแอปพลิเคชันอัจฉริยะ (Intelligent Application) ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนได้ โดยสามารถควบคุมการล็อก-ปลดล็อกประตู, เปิด-ปิดระบบปรับอากาศ, ตรวจสอบสถานะหน้าต่างและหลังคาซันรูฟ, ตรวจสอบแรงดันลมยาง, ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง, ค้นหาตำแหน่งรถยนต์ รวมถึงระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์เพื่อควบคุมการใช้งานรถได้จากมือถือ ซึ่งฟังก์ชันเหล่านี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานสำหรับรถยนต์จีนไปแล้วก็ว่าได้

haval_jolion_36

     ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ก็มีให้แบบไม่กั๊ก ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันเหยียบเบรกค้างอัตโนมัติ, กุญแจ Smart Key พร้อมระบบ Keyless Access ทำงานคู่กับปุ่ม Push Start, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้านหุ้มหนัง, กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ, ช่อง USB บริเวณกระจกมองหลังสำหรับกล้องบันทึกภาพ, กระจกไฟฟ้าอัตโนมัติทั้ง 4 บาน, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา พร้อมไส้กรองฝุ่น PM 2.5 และจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display) ก็มีมาให้เช่นกัน

     Haval Jolion ยังคงชูจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะแบบเดียวกับ H6 Hybrid และ ORA Good Cat โดยมีระบบความปลอดภัยขั้นสูงมาให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น เช่น ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติทั้งทางตรงและทางแยก (AEBI), ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า (FCW), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA), ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA), ระบบเตือนมุมอับสายตา (BSD) และระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 (SCM)

     ขณะที่รุ่น PRO จะถูกเพิ่มเติมด้วยระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ (ACC), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA), ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS), ระบบช่วยเตือนสัญญาณไฟจราจร (TSR) และระบบช่วยเตือนเมื่อความเร็วสูงเกินกำหนด

haval_jolion_23

     ยังไม่พอครับ เพราะรุ่น ULTRA ยังเพิ่มเติมด้วยระบบช่วยจอดอัจฉริยะ 3 รูปแบบ (IIP), กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ (LSEB), ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากทางด้านข้าง (WDS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK), ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง (RCW) ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA/RCTB), ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW) และเซ็นเซอร์กะระยะหน้า 6 จุด และหลังอีก 6 จุด

     ส่วนระบบความปลอดภัยมาตรฐานอื่นๆ ก็มีให้แน่นเอี๊ยดตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ได้แก่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSS), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและลื่นไถล (TCS), ระบบป้องกันความเสี่ยงที่จะพลิกคว่ำ (ARS), ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน และควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (HSA/HDC), ระบบเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DFM), สัญญาณไฟกะพริบฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน (ESS), ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลม เป็นต้น

เครื่องยนต์และช่วงล่าง

     ขุมพลังของ Haval Jolion เป็นเครื่องยนต์ไฮบริดที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร บล็อกเดียวกับ H6 Hybrid แต่ถูกตัดเทอร์โบออกไป โดยให้กำลังสูงสุดรวมทั้งระบบอยู่ที่ 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 375 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ DHT (Dedicated Hybrid Transmission) ที่ออกแบบมาสำหรับเครื่องยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ พร้อมทั้งเคลมอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยเอาไว้ที่ 23.8 กม./ลิตร

haval_jolion_16

     ขณะที่ช่วงล่างของ Jolion ด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท (McPherson Strut) พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีม (Torsion Beam) พร้อมเหล็กกันโคลง ติดตั้งระบบดิสก์เบรกมาให้ทั้ง 4 ล้อ

การขับขี่

     ก่อนที่เราจะได้ออกไปขับทดสอบบนถนนจริงนั้น ทางเกรทวอลล์ได้เตรียมสนามให้ได้ทดสอบฟังก์ชันต่างๆ ของตัวรถ โดยไฮไลท์อยู่ที่การทดสอบระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ (IIP) ซึ่งเป็นฟังก์ชันเดียวกับที่พบในรุ่นใหญ่อย่าง H6 Hybrid โดยการทำงานของ Jolion ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะมันสามารถนำรถเข้าจอดอัตโนมัติได้ทั้งแบบขนานฟุตบาท, แบบเข้าซอง และแบบทแยง

haval_jolion_52

     ซึ่งตัวรถสามารถควบคุมการทำงานทุกอย่างที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการเร่ง,​ การเบรก, ทิศทางพวงมาลัย และการเปลี่ยนเกียร์ ล้วนแต่ทำงานโดยอัตโนมัติทั้งหมด ผู้ขับขี่มีหน้าที่เพียงแค่ประคองเท้าไว้ที่แป้นเบรกเผื่อกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เมื่อจอดเสร็จปุ๊ประบบก็จะเข้าเกียร์ P ให้เสร็จสรรพ จากนั้นเมื่อต้องการออกจากช่องจอด ก็สามารถสั่งระบบให้ช่วยขยับหันหน้าออกได้เช่นกัน

     คราวนี้มาเรื่องของสมรรถนะการขับขี่บนถนนจริงบ้าง อันดับแรกเรื่องของอัตราเร่งจากขุมพลังไฮบริด 1.5 ลิตร ที่เคลมแรงบิดไว้สูงถึง 375 นิวตัน-เมตร สามารถออกตัวจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาราว 10.5 วินาที จากการจับความเร็วตามที่แสดงผลบนหน้าปัด ซึ่งถือว่าว่องไวใช้ได้เมื่อเทียบกับความเป็นรถเอสยูวียกสูง แม้ว่าตัวเลขแรงบิดอาจจะดูสูงเกินจริงไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่าเหลือเฟือแล้วกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

     อันที่จริงแม้ว่าความเร็วเกินกว่า 100 กม./ชม. ขึ้นไป ก็ยังสามารถตอบสนองฝีเท้าได้ทันใจอยู่ อันเป็นผลจากการที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยเสริมพละกำลัง จนกระทั่งแตะความเร็ว 140 กม./ชม. จึงจะรู้สึกว่าเครื่องยนต์เริ่มตอบสนองช้าลง ก่อนจะไปสุดท็อปสปีดอยู่ที่ประมาณ 155 กม./ชม. และอาจไหลไปถึง 160 กม./ชม. ได้ถ้าเป็นทางลาดลง ดังนั้นการตอบสนองในย่านความเร็วตามกฎหมายกำหนดก็ถือว่าทำได้ดีเกินพอแล้ว

haval_jolion_43

     ขณะที่ช่วงล่างก็ถือว่าทำได้ดีเกินคาดเช่นกัน ให้ความหนึบแน่นพองาม ติดไปทางแข็งอยู่นิดๆ สำหรับการเดินทางที่มีผู้โดยสาร 2 คน แต่ก็แลกมาด้วยความมั่นใจในขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง ยิ่งถ้าเป็นทางเรียบๆ แล้วล่ะก็ ยิ่งเป็นรถที่ขับได้อย่างมั่นใจ จนเรียกได้ว่า Jolion เป็นรถที่มีจุดเด่นด้านช่วงล่างเหนือกว่าค่ายจากฝั่งญี่ปุ่นอยู่นิดๆ ด้วยซ้ำไป

     อีกสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างประทับใจก็คือความกว้างขวางภายในห้องโดยสาร เนื่องจากมิติตัวถังของ Jolion มีขนาดเกือบจะเท่ารถในกลุ่ม C-SUV อยู่แล้ว จึงมีพื้นที่ภายในค่อนข้างกว้างขวาง หากโดยสารพร้อมกับเพื่อนๆ รวมทั้งหมด 5 คน ก็ทำได้อย่างสบาย ไม่อึดอัด หรือจะใช้งานเป็นรถครอบครัวที่มีผู้สูงอายุเดินทางไปด้วยก็ย่อมได้ ยิ่งถ้ามองว่าค่าตัวรุ่นท็อปไม่ถึงล้านแล้วล่ะก็ ถือว่าคุ้มค่าน่าใช้ทีเดียว

haval_jolion_42

     แต่จุดที่น่าสังเกตของ Haval Jolion ก็คือระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ ที่ต้องยอมรับว่ารู้สึกรำคาญในการใช้งานพอสมควร ยกตัวอย่างเช่น ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) ที่พยายามแทรกแซงการบังคับพวงมาลัยของผู้ขับขี่แทบตลอดเวลา จนกลายเป็นว่าพวงมาลัยจะขืนมืออยู่ตลอด ซึ่งอาการดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นแม้ว่าจะตั้งค่าความไวของระบบให้อยู่ในระดับต่ำสุดแล้วก็ตาม จนสุดท้ายต้องยอมกดปิดระบบไปเพื่อตัดความรำคาญ

สรุป

     Haval Jolion Hybrid เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถเอสยูวี หรือต้องการขยับขยายจากรถอีโคคาร์ หรือ B-Segment มาเป็นรถที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ตอบสนองการใช้งานในครอบครัวได้อย่างครบเครื่องมากขึ้น ด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวางเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับราคาใกล้เคียงกัน พร้อมสมรรถนะที่ไม่น้อยหน้าใคร (แม้ว่าตัวเลขกำลังสูงสุดจะดูเกินจริงไปเสียหน่อย) เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมือง

     ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานหลายอย่างก็ให้มาแบบเกินคาดจนแทบจะใช้ไม่หมด เพียงแต่การทำงานของระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ อาจต้องปรับตัวให้ชินอยู่บ้าง มิเช่นนั้นก็จะเกิดความรำคาญแบบที่ผู้เขียนพบเจอได้ ถึงกระนั้น Haval Jolion ก็ถือได้ว่าเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุดรุ่นหนึ่งแล้วล่ะครับ

haval_jolion_40

ราคาจำหน่าย Haval Jolion Hybrid 2022 ใหม่

  • รุ่น TECH ราคา 879,000 บาท
  • รุ่น PRO ราคา 939,000 บาท
  • รุ่น ULTRA ราคา 999,000 บาท

อัลบั้มภาพ 42 ภาพ

อัลบั้มภาพ 42 ภาพ ของ รีวิว Haval Jolion Hybrid 2022 ใหม่ บอดี้ใหญ่ออปชันเยอะในงบไม่ถึงล้าน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook