รีวิว NETA V ใหม่ รถไฟฟ้า 100% คุ้มเกินคาดในราคา 549,000 บาท

รีวิว NETA V ใหม่ รถไฟฟ้า 100% คุ้มเกินคาดในราคา 549,000 บาท

รีวิว NETA V ใหม่ รถไฟฟ้า 100% คุ้มเกินคาดในราคา 549,000 บาท
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     รีวิว NETA V ใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ชูจุดขายด้วยราคาจำหน่ายเพียง 549,000 บาท มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน และแบตเตอรี่ที่ขับขี่ได้ไกลกว่า 384 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง จะน่าใช้มากน้อยแค่ไหนติดตามได้ในบทความนี้ครับ

neta_v_07

     เชื่อว่าหลายคนคงติดตามข่าวคราวการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า “NETA V” ที่ถูกปลุกกระแสมาตั้งแต่งาน Bangkok International Motor Show 2022 เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก่อนจะถูกประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันมานี้ ซึ่งก็สอดคล้องกับข่าวลือว่าจะทำตลาดในราคาไม่เกิน 600,000 บาท เพราะ NETA V มีราคาจำหน่ายหลังหักเงินสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าจากรัฐบาลอยู่ที่ 549,000 บาทเท่านั้น ซึ่งราคานี้รวมเครื่องชาร์จไฟบ้าน AC Wallbox Charger พร้อมค่าติดตั้งเรียบร้อยแล้วด้วย

     สำหรับ NETA V ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยถูกทำตลาดโดย บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ NETA Thailand โดยพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “Touchable Smart EV” หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่จับต้องได้ โดยปัจจุบัน บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า NETA ในประเทศจีน มียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารวมแล้วกว่า 170,000 คัน นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมา คิดเป็นอัตราเติบโตสูงถึง 362% ในปี 2564 และถูกจัดอยู่ในกลุ่มบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง

neta_v_21

ภายนอก

     NETA V ทำตลาดในประเทศไทยเพียงรุ่นย่อยเดียวเท่านั้น มาพร้อมตัวถังสไตล์แฮทช์แบ็ก 5 ประตูที่ให้อารมณ์กระเดียดไปทางครอสโอเวอร์อยู่นิดๆ โดยเนต้าระบุว่าเส้นสายของ NETA V ได้แรงบันดาลใจมาจาก “โลมา” ที่มีความลื่นไหลจากหน้าจรดท้ายเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งถึงว่าส่งผลโดยตรงต่ออัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า

มิติตัวถัง

  • ความยาว: 4,070 มม.
  • ความกว้าง: 1,690 มม.
  • ความสูง: 1,540 มม.
  • ความยาวฐานล้อ 2,420 มม.
  • ระยะต่ำสุดจากพื้น: 130 มม.

     หรือหากเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ NETA V จะถือว่ามีขนาดใกล้เคียงกับ Honda Jazz GK ที่เพิ่งยุติการจำหน่ายไปเมื่อไม่นานมานี้ จึงถือว่า NETA V มีขนาดเทียบเท่ากับรถยนต์พิกัด B-segment ที่วิ่งกันทั่วไปในบ้านเรา เหมาะสำหรับเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก

neta_v_39

     อุปกรณ์มาตรฐานของ NETA V ก็มีให้ครบครันอย่างที่ควรจะมีในรถยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์ฮาโลเจน พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบไฟส่องนำทางหลังดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light), ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED, ไฟท้ายแบบ LED, กระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า​ (พับด้วยมือ), ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบปรับตั้งเวลาหน่วงได้ (ส่วนที่ปัดน้ำฝนหลังไม่มี แต่มีลวดไล่ฝ้ามาให้) และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว หุ้มด้วยยางขนาด 185/55 R16

     NETA V ยังมีความพิเศษอยู่ที่กุญแจอัจฉริยะ Smart Key ซึ่งถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นทรงกลมดีไซน์แปลกตา โดยมีทั้งปุ่มล็อก, ปลดล็อก และปุ่มปลดล็อกประตูท้ายบนตัวรีโมต หรือจะกดปุ่มสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนที่เปิดประตูภายนอกเพื่อล็อก-ปลดล็อกประตูเพียงแค่พกกุญแจไว้กับตัวเท่านั้น โดย NETA ยังมีอุปกรณ์เสริมที่เป็นเคสรัดข้อมือสำหรับใส่กุญแจ Smart Key สีสันเข้ากันกับตัวรถได้อีกต่างหาก น่าจะถูกใจวัยรุ่นไม่น้อยทีเดียว

neta_v_10

     ส่วนช่องชาร์จไฟของ NETA V จะถูกติดตั้งไว้บริเวณแก้มข้างด้านซ้ายของตัวรถ สามารถรองรับหัวชาร์จ AC แบบ Type 2 และ DC แบบ CCS Combo ซึ่งถือว่าเป็นหัวชาร์จที่ตรงกับมาตรฐานการใช้งานในเมืองไทยทั้ง Normal Charge และ Quick Charge

ภายใน

     ภายในห้องโดยสารของ NETA V ถือว่าทำได้ดีกว่าคิดไว้ ด้วยการตกแต่งสไตล์มินิมอลเน้นความเรียบง่าย แต่มีการตกแต่งด้วยวัสดุที่ช่วยเพิ่มความพรีเมียมมากยิ่งขึ้น เช่น การติดตั้งเบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์สีดำจากโรงงาน, พวงมาลัยถูกหุ้มด้วยวัสดุหนังพร้อมรูระบายอากาศ และการตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

neta_v_51

     NETA V สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 5 ที่นั่ง โดยเบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบปรับมือ 4 ทิศทาง เบาะนั่งฝั่งผู้ขับขี่ไม่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ ส่วนพนักพิงเบาะหลังสามารถปรับพับได้แบบชิ้นเดียวเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระท้าย แต่ไม่สามารถปรับเอนหรือเลื่อนหน้า-หลังได้ แต่ถึงกระนั้นองศาของพนักพิงก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่ได้เอนหรือตั้งตรงจนเกินพอดี แถมยังสะดวกสบายด้วยพื้นที่วางขาที่มีเหลือเฟือพอสมควรทีเดียว

     เมื่อนั่งในตำแหน่งของผู้ขับขี่พบว่าระดับสายตาอยู่สูงกว่ารถเก๋งทั่วไปเล็กน้อย จึงทำให้มีทัศนวิสัยที่ค่อนข้างดี สามารถกะระยะได้ง่าย ขณะที่การออกแบบเบาะนั่งก็สามารถรองรับสรีระได้ดีพอควร ไม่โอบแน่นจนรู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะนั่งอยู่ภายในรถนานนับชั่วโมงก็ไม่รู้สึกปวดเมื่อย

neta_v_52

     ห้องโดยสารของ NETA V ถูกออกแบบให้เกือบจะ “ไร้ปุ่ม” เลยก็ว่าได้ เพราะการควบคุมฟังก์ชันต่างๆ จะถูกรวมเอาไว้บนหน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสแนวตั้งขนาดใหญ่ 14.6 นิ้ว ซึ่งจุดนี้ต้องชื่นชมเนต้าว่าสามารถทำอินเตอร์เฟซออกมาได้สวยงามน่าใช้ มีความคมชัด รองรับภาษาไทยได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งยังมีการตอบสนองได้ดีมากไม่แพ้แท็บเล็ตระดับไฮเอนด์ ทำให้การใช้งานไหลลื่นไม่ติดขัด แม้ว่าการเข้าถึงเมนูต่างๆ ในระยะแรกอาจจำเป็นต้องอาศัยความเคยชินเสียหน่อย เพราะมีฟังก์ชันการใช้งานหลากหลายเหลือเกิน

     ส่วนเมนูควบคุมระบบปรับอากาศถูกออกแบบให้อยู่ส่วนล่างของหน้าจอ ซึ่งจะแสดงผลให้เห็นตลอดเวลา แต่การควบคุมฟังก์ชันพื้นฐานอย่างการปรับระดับแรงลมหรืออุณหภูมิ ก็จำเป็นต้องใช้วิธีกดและเลื่อนแถบเล็กๆ ซึ่งอาจใช้งานได้ไม่สะดวกนักในระหว่างที่กำลังขับรถไปด้วย แต่ยังดีที่ให้ความเย็นสะใจไม่แพ้รถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป สามารถสู้แดดเมืองไทยได้อย่างสบายๆ

neta_v_05

     นอกจากนี้ ระบบปรับอากาศของ NETA V ยังมีระบบกรองอากาศ N95 เพื่อลดปริมาณฝุ่นขนาดเล็กภายในห้องโดยสาร แถมยังสามารถแสดงอายุการใช้งานที่เหลืออยู่ของแผ่นกรองอากาศได้ ซึ่งตัวเลขจะแปรผันขึ้นอยู่กับการใช้งานและระดับความแรงลมที่ใช้เป็นประจำ

     ทางด้านระบบอินโฟเทนเมนท์สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Bluetooth ได้ทั้งระบบ iOS และ Android พร้อมช่อง USB มาให้ 3 ตำแหน่ง เสริมด้วยปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยเพื่อความสะดวกในการใช้งานขณะขับรถ และลำโพง 6 ตำแหน่งรอบห้องโดยสาร

neta_v_06

     แม้กระทั่งการเปิด-ปิดไฟหน้า และการปรับระดับความสูง-ต่ำของไฟหน้า ก็จำเป็นต้องสั่งการผ่านหน้าจอ 14.6 นิ้วด้วยเช่นกัน (แต่ยังดีที่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติมาให้ จึงไม่จำเป็นต้องเข้าเมนูเพื่อเปิด-ปิดอยู่ทุกครั้งไป)

     ส่วนหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่เป็นแบบดิจิทัลดีไซน์แปลกตาทอดตัวอยู่เบื้องหน้าผู้ขับขี่ สามารถแสดงข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็น เช่น ระดับความเร็ว, ระดับแบตเตอรี่, ระยะทางขับขี่, ระยะทางที่วิ่งได้จากแบตเตอรี่ที่เหลือ, อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย, อัตราสิ้นเปลืองแบบเรียลไทม์, ตำแหน่งเกียร์ รวมถึงสัญลักษณ์เตือนต่างๆ ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่าเข้าใจง่ายและใช้งานได้ดี แถมยังไม่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่อีกด้วย

     มองขึ้นไปเหนือเพดานจะพบกับไฟอ่านแผนที่แบบ LED ซึ่งสามารถเปิด-ปิดด้วยระบบสัมผัส แถมในเวลากลางคืนยังมีไฟเรืองแสงเป็นรูปทรงกลมช่วยเพิ่มบรรยากาศภายในรถให้ดูทันสมัยขึ้น ส่วนกระจกมองหลังสามารถโยกปุ่มเพื่อตัดแสงจากรถคันหลังได้

neta_v_42

     ส่วนคันเกียร์ไฟฟ้ามีลักษณะเป็นก้านติดตั้งอยู่ฝั่งขวาของพวงมาลัย (นึกถึง Mercedes-Benz ยังไงยังงั้นเลย) ซึ่งมีลักษณะเป็นปุ่ม P R N และ D เหมือนกับรถยนต์ทั่วไป แต่ที่พิเศษขึ้นมาคือก้านเกียร์จะถูกใช้สำหรับระบบ Cruise Control ด้วย โดยวิธีใช้ก็เพียงแค่กดก้านลงด้านล่างจนสุดในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ จากนั้นจึงเลือกความเร็วที่ต้องการผ่านปุ่มควบคุมที่อยู่ฝั่งซ้ายของพวงมาลัย รถก็จะเคลื่อนที่ไปตามความเร็วที่ตั้งไว้ ส่วนการยกเลิกก็เพียงแค่แตะเบรกเบาๆ ระบบ Cruise Control ก็จะหยุดการทำงานโดยอัตโนมัติทันที

     ด้านระบบความปลอดภัยก็มีให้ครบครันอย่างที่ควรจะมี ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมการทรงตัว ESC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC, ระบบเบรก ABS / EBD, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของแรงดันลมยาง TPMS, ระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อรถออกตัว, เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 5 ตำแหน่ง, จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า และดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ

ระบบขับเคลื่อน

     NETA V ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 95 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 110 กม./ชม. (โหมด Sport ทำความเร็วสูงสุดได้ 120 กม./ชม.) และแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ความจุ 38.5 kWh ให้ระยะทางขับขี่ 384 กิโลเมตรตามมาตรฐานการทดสอบ NEDC พร้อมระบบจัดการอุณหภูมิของแบตเตอรี่ HEPT 3.0 และระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ เพื่อรักษาประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่

neta_v_25

     สำหรับการชาร์จผ่าน Wallbox แบบ AC (Normal Charge) จากระดับ 0-100% จะใช้เวลาเต็มที่ราว 8 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลาการชาร์จจริงก็จะขึ้นอยู่กับปริมาณแบตเตอรี่คงเหลือก่อนทำการชาร์จ ส่วนการชาร์จเร็วแบบ DC (Quick Charge) จากระดับ 30-80% จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งจุดนี้ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าเมื่อระดับแบตเตอรี่กลับมาสูงกว่า 80% ขึ้นไป ตู้ชาร์จจะค่อยๆ ลดปริมาณการอัดประจุไฟลงเพื่อเซฟตัวแบตเตอรี่เอง จึงทำให้การชาร์จจาก 80-100% จำเป็นต้องใช้เวลานานกว่าปกติ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของระบบ Quick Charge ในรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปอยู่แล้ว

     นอกจากนี้ NETA V ยังสามารถจ่ายกระแสไฟกลับไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ด้วยฟังก์ชัน V2L หรือ Vehicle to load โดยจะมีลักษณะคล้ายกับปลั๊กพ่วงที่ใช้ตามบ้าน สามารถนำมาเสียบกับช่องชาร์จไฟของตัวรถได้ทันที จะสามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงสุด 3,300 วัตต์ เหมาะสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น พัดลม, เตาปิ้งย่าง, ชาร์จคอมพิวเตอร์พกพา ฯลฯ สำหรับผู้ที่ชอบทำกิจกรรมนอกบ้าน หรือเผื่อกรณีบ้านไฟดับก็ยังสามารถใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟสำรองได้อีกด้วย

neta_v_ctw_01

     ทั้งนี้ NETA V ทุกคันจะได้การรับประกันรถยนต์ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) รวมไปถึงประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. คุ้มครอง 1 ปี และเครื่องชาร์จ NETA WALLBOX พร้อมค่าติดตั้ง จำนวน 1 ชุด 

การขับขี่

     ก่อนอื่นต้องบอกว่าการสตาร์ทรถ NETA V จะมีความแตกต่างจากรถสันดาปทั่วไป เพราะทันทีที่ปลดล็อกประตูรถ ระบบก็จะเริ่ม Standby พร้อมเริ่มต้นเดินทางโดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่มสตาร์ทแต่อย่างใด (ซึ่งรถคันนี้ไม่มีปุ่มสตาร์ทมาให้อยู่แล้ว) หรือกรณีที่ประตูรถไม่ได้ล็อก ก็เพียงแต่เหยียบแป้นเบรก ระบบก็จะเริ่ม Standby ให้ทันทีเช่นกัน สามารถใส่เกียร์แล้วขับออกไปได้ทันที

neta_v_11

     ขณะที่การดับรถก็ไม่ต้องทำอะไรเลยอีกเหมือนกัน เพียงแค่จอดรถให้เรียบร้อย เข้าเกียร์ P ลงจากรถ ปิดประตูรถทุกบาน กดปุ่มล็อกประตู ระบบไฟฟ้าต่างๆ ก็จะตัดการทำงานโดยอัตโนมัติทันที ส่วนกรณีที่จอดรถไว้ในบ้าน หรือไม่ต้องการล็อกประตู สามารถดับรถได้ด้วยตัวเองผ่านปุ่ม “ปลดปิดสวิตช์รถยนต์” ในเมนูบนหน้าจอ 14.6 นิ้ว ก็จะเป็นการตัดระบบไฟฟ้าทั้งหมดลงเช่นกัน

     ในด้านการขับขี่ต้องยอมรับว่าตัวเลขสเปกมอเตอร์ไฟฟ้า 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร อาจไม่ใช่ตัวเลขที่น่าหวือหวานัก แต่การขับขี่จริงกลับสามารถตอบสนองได้ดีกว่าที่คิดไว้ โดยเฉพาะช่วงความเร็ว 0-60 กม./ชม. สามารถเรียกแรงบิดได้อย่างรวดเร็วทันใจตามฉบับรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มความคล่องตัวในเมืองได้เป็นอย่างดี ส่วนการไต่ความเร็วตั้งแต่ 80 กม./ชม. ขึ้นไปก็ถือว่าไม่แย่นัก ใกล้เคียงกับการคิกดาวน์รถ B-segment เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร แต่ NETA V ก็ยังให้การตอบสนองที่ดีกว่าเนื่องจากไม่มีเสียงเครื่องยนต์หรือจังหวะตัดต่อเกียร์มากวนใจ

     อย่างไรก็ดี ท็อปสปีดของ NETA V ถูกจำกัดเอาไว้ที่ 110 กม./ชม. ในโหมดปกติ แต่หากปรับเปลี่ยนเป็นโหมด Sport ก็จะปลดความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 120 กม./ชม. เท่านั้น

neta_v_test_04

     ช่วงล่างของ NETA V ถูกเซ็ตให้มีความนุ่มนวลเป็นพิเศษ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในเมืองที่มีทั้งหลุมเล็กๆ และฝาท่อเป็นจำนวนมาก ทำให้การขับรูดผ่านพื้นถนนไม่เรียบทำได้อย่างนิ่มนวลชวนฝัน แทบไม่มีอาการตึงตังให้เห็น

     แต่เมื่อใดก็ตามที่ใช้ความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. ขึ้นไป ช่วงล่างอันแสนนุ่มนิ่มก็จะออกอาการโคลงให้เห็นอย่างชัดเจน รับรู้ได้ทันทีถึงรูปทรงตัวรถที่แคบและสูงกว่าปกติ ซึ่งอาการที่ว่านี้ไม่ต้องถึงขั้นขับออกต่างจังหวัดหรอกนะครับ เอาแค่ขับบนถนนราชพฤกษ์ในช่วงทางโล่งๆ ก็ออกอาการโคลงที่ชัดเจนแล้ว

     อีกหนึ่งอาการที่พบใน NETA V คือ ช่วงจังหวะที่รถใกล้จะหยุดนิ่งสนิท จะมีอาการหัวทิ่มแทบทุกครั้งไป ให้ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วไหลไปติดไฟแดง ทันทีที่ความเร็วลดลงเหลือสัก 1-2 กม./ชม. มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะตัดการส่งกำลังไปดื้อๆ ทำให้มีอาการหัวทิ่มไปข้างหน้าทุกครั้ง หรือแม้แต่การปล่อยไหลเอื่อยๆ ตามสภาพการจราจรติดขัด เมื่อรถใกล้หยุดสนิทก็จะมีอาการหัวทิ่มทุกครั้ง ซึ่งอาการที่ว่านี้ไม่ได้รุนแรงอะไรนักหรอกนะครับ แต่เมื่อต้องขับขี่ท่ามกลางสภาพจราจรอันโหดร้ายทุกวัน ก็สร้างความน่าหงุดหงิดได้ไม่น้อยทีเดียว

neta_v_test_01

     ส่วนระยะทางการขับขี่จริงนั้น ผมมีโอกาสนำรถคันนี้ไปใช้งานทั้งในเมืองและต่างจังหวัด (จ.ชลบุรี) เริ่มต้นจากการชาร์จไฟจนเต็ม 100% รีเซ็ตระยะทาง 0 กม. จากนั้นขับใช้งาน 2 วันรวมเป็นระยะทางทั้งสิ้น 217.9 กิโลเมตร แบตเตอรี่ลดระดับเหลือ 30% หน้าจอบอกระยะขับขี่คงเหลืออยู่ที่ 124 กิโลเมตร บนพื้นฐานของการใช้ความเร็วภายใต้กฎหมายกำหนด โดยช่วงขับทางไกลจะใช้ความเร็วยืนพื้นประมาณ 100 - 105 กม./ชม.

     เมื่อมาถึงสถานีชาร์จภายในปั๊ม ปตท. ก็จัดการชาร์จไฟแบบ Quick Charge จนได้ระดับแบตเตอรี่กลับคืนมาที่ 59% รวมเบ็ดเสร็จจ่ายค่าไฟไป 80.50 บาทตามที่ปรากฏบนแอปพลิเคชัน แลกกับปริมาณไฟฟ้าที่ได้มา 13.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง

     ส่วนการชาร์จด้วยสายชาร์จไฟบ้านที่แถมมากับตัวรถนั้น จะใช้เวลามากน้อยแค่ไหน อันนี้ตอบได้ว่าการชาร์จไฟจากระดับ 83% ผมใช้เวลาไปราว 6 ชั่วโมงจนกว่าจะเต็ม 100% ซึ่งถือว่านานพอสมควรทีเดียว จึงเหมาะสำหรับการนำไปชาร์จฉุกเฉินที่ไม่สามารถหาวอลล์บ็อกซ์หรือตู้ชาร์จด่วนมากกว่า

neta_v_17

สรุป

     NETA V ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าระดับ Entry ที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้า เหมาะสำหรับเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่มีให้ครบครัน ช่วงล่างที่นุ่มสบาย อัตราเร่งตีนต้นที่แรงเร้าใจ พร้อมแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่พอที่จะชาร์จ 1 ครั้งสามารถอยู่ได้ 2-3 วัน ส่วนการขับขี่ทางไกลก็พอไปได้ แต่ด้วยความเร็วสูงสุดที่ถูกจำกัดไว้เพียง 110 กม./ชม. (หรือ 120 กม./ชม. ในโหมดสปอร์ต) บวกกับช่วงล่างที่ออกอาการย้วยอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ความมั่นใจในการขับขี่ลดลงไปบ้างอยู่เหมือนกัน

    แต่เมื่อเทียบกับราคาจำหน่ายเพียง 549,000 บาท ก็เชื่อว่า NETA V สามารถมอบความคุ้มค่าได้เหนือกว่ารถสันดาปในระดับราคาใกล้เคียงกันอยู่มากโขแล้วล่ะครับ

อัลบั้มภาพ 44 ภาพ

อัลบั้มภาพ 44 ภาพ ของ รีวิว NETA V ใหม่ รถไฟฟ้า 100% คุ้มเกินคาดในราคา 549,000 บาท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook