BYD แซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ยอดขาย EV สูงที่สุดในโลก

BYD แซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ยอดขาย EV สูงที่สุดในโลก

BYD แซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ยอดขาย EV สูงที่สุดในโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่สัญชาติจีน ทำยอดขายในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แซงหน้า Tesla ของสหรัฐอเมริกา และยังคงเติบโตต่อเนื่องทั่วโลก

bydsealion07_07

สำนักข่าว CNN รายงานว่า BYD มียอดจำหน่ายสะสมรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 จำนวนทั้งสิ้น 525,409 คัน เทียบกับ Tesla ที่มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 484,507 คัน ส่งผลให้ BYD กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในโลกในช่วงเวลาดังกล่าว

ขณะที่ยอดจำหน่ายตลอดทั้งปี 2566 พบว่า Tesla มียอดจำหน่ายสะสมอยู่ที่ 1.8 ล้านคัน เทียบกับ BYD ที่มียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าตลอดทั้งปีอยู่ที่ 1.57 ล้านคัน คิดเป็นส่วนต่างอยู่ที่ 2.3 แสนคัน แต่ส่วนต่างดังกล่าวก็กำลังลดลงเรื่อยๆ เนื่องจาก Tesla เคยเอาชนะยอดขายของ BYD ไปได้ราว 4 แสนคันในปี 2565 ที่ผ่านมา

การขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของ BYD ยังถือเป็นครั้งแรกที่บัลลังก์แชมป์ EV ของ Tesla ถูกโค่นล้มลง หลังจากที่ Tesla เคยขึ้นแซง Nissan กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์หนึ่งของโลกช่วงราวปี พ.ศ. 2558 - 2559 หรือกว่า 9 ปีที่ผ่านมา

tesla_launched_th_11

อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนมีการแข่งขันอย่างหนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทรถยนต์หลายแห่งรวมถึง Tesla และ BYD ต่างก็ใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาจำหน่ายเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด จึงทำให้ผลกำไรในภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์จีนลดลงเหลือ 5% ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 เทียบกับตัวเลข 5.7% ในปี 2565 และ 6.1% ในปี 2564

ขณะที่ BYD ก็เตรียมเดินหน้าลุยตลาด EV นอกอาณาเขตจีนอย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นที่ยุโรป, ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยก่อนหน้านี้ BYD ได้ออกถ้อยแถลงที่งาน IAA Mobility 2023 ประเทศเยอรมนี เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วว่า บริษัทฯ มีแผนขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายให้ได้มากกว่า 2 เท่าของที่มีอยู่ พร้อมทั้งตั้งเป้ายอดจำหน่ายนอกประเทศจีนไว้ที่ 230,000 คันในปี 2566 เทียบกับปีก่อนหน้าที่มีตัวเลขเพียง 56,000 คัน

นอกจากนี้ BYD ยังได้ก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลพลังงานไฟฟ้า (EV Passenger Car) ที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยมีกำลังผลิต 150,000 คันต่อปี คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงต้นปี 2567 นี้ รวมถึงยังเตรียมก่อสร้างโรงงานในประเทศฮังการีอีกหนึ่งแห่งเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าชาวยุโรปโดยเฉพาะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook